สุภี พงษ์พานิช ไฮโซ...หรือเจ้าแม่?

สุภี พงษ์พานิช ไฮโซ...หรือเจ้าแม่?

สุภี พงษ์พานิช ไฮโซ...หรือเจ้าแม่?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

What You See is (Not Always) What You Get สุภี พงษ์พานิช ไฮโซ...หรือเจ้าแม่?


ไม่ว่าคุณจะเคยได้ยินใครพูดหรือเขียนถึงเธออย่างไร ก่อนอ่าน บทสัมภาษณ์บรรทัดต่อไป เราอยากให้คุณกดลบข้อมูลเหล่านั้นทิ้งไปก่อน เพราะตลอดเวลากว่า 4 ชั่วโมงที่เปรียวได้สัมผัสและพูดคุยอย่างใกล้ชิด กับครั้งแรกของการรวบรวมสมาชิกครอบครัวครบ 4 คนบนหน้านิตยสาร ‘คุณเป็ด' คือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่ในความธรรมดาก็แฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร

ส่วนจะเป็นอะไรนั้น...เราอยากให้คุณค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

นอกจากบทบาทภรรยาของคุณจ้อย-เจตนา พงษ์พานิช คุณแม่ของเจ็ท-พงษ์ภัทร์ และแจน-ธนัชพร แล้ว ปัจจุบันคุณเป็ดยังมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและส่งเสริมการขาย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดูแลครอบคลุมงานโฆษณาและส่งเสริมการขายทั้งหมด อาทิ งานโฆษณาทางวิทยุและโทรทัศน์ ของพรีเมียมสำหรับลูกค้า งาน Event งาน Money Expo งานแถลงข่าว รวมไปถึงแคมเปญต่างๆ เรื่อยไปจนถึงงานครีเอทีฟ Client Service การออกแบบผลิตภัณฑ์ และทีมมีเดีย สปอนเซอร์ ฯลฯ ความรับผิดชอบมากมายขนาดนี้ แต่หลังจากถ่ายรูปเซตแรกเสร็จ คุณเป็ดก็ปลีกตัวมานั่งคุยกับเราว่า จริงๆ แล้วงานแบงก์ไม่ใช่สิ่งที่เธอใฝ่ฝันเลยสักนิด

"ตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดว่าจะทำงานแบงก์ มองว่าไม่ใช่งานที่ถนัด พี่เรียนสายศิลป์ฝรั่งเศสที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบมาก็เรียนวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อด้วยปริญญาโทสาขาการบริหารจัดการ อาจจะดูว่าเป็นศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่พี่คิดว่าเรามี พื้นฐานด้านศิลปะแล้ว เลือกเรียน management เพิ่มเติมน่าจะดีกว่า เพราะเราจะเก่งงานอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก่งคนด้วย ระหว่างนั้นพี่ก็มีโอกาสทำงานเป็นพิธีกรรายการเกี่ยวกับวัยรุ่น จัดรายการวิทยุ เป็นอาจารย์สอนพิเศษทั้งปริญญาตรีและโท รวมทั้งเป็นวิทยากร เมื่อได้เจอคนมากขึ้น ประสบการณ์และโอกาสก็มากขึ้นตามไปด้วย"

พอเรียนจบ คุณเป็ดเริ่มงานแรกในชีวิตที่โรงแรมแมนดาริน แต่ทำได้เพียง 3 ปีก็ย้ายมาทำงานแบงก์ตามคำแนะนำของคุณพ่อ

ธนาคารไทยพาณิชย์จึงเป็นที่ทำงานแห่งที่ 2 จนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ชื่อของคุณเป็ดผูกติดกับองค์กรจนแยกกัน ไม่ออก "หลายคนบอกว่าสมมติพี่จะไปอยู่ที่อื่น ใบโพธิ์ก็ยังเป็นโลโก้อยู่บนหน้าผาก เพราะฉะนั้นไปไหนไม่ได้ (ยิ้ม) เขาก็แซวๆ กัน พอเห็นหน้าเราก็รู้เลยว่าไทยพาณิชย์ ซึ่งก็เป็นจุดดีนะ ไม่ต้องพูดมาก เป็น brand awareness โดยปริยาย ไม่ต้องใส่ชุดแบงก์ก็รู้เลยว่ามาจากไทยพาณิชย์ เราไปงานไหนคนก็จะจำได้ว่า...เป็ด ไทยพาณิชย์"

แนวทางการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ

อย่างที่คุณเป็ดบอกไว้ตอนต้นว่า คนเราจะเก่งบริหารงาน อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเก่งทั้งงานและคน หลักจิตวิทยาจึงเข้ามามีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานด้านศิลปะ ซึ่งคนทำงานค่อนข้างมีอารมณ์อ่อนไหวและ aggressive การบังคับขู่เข็ญจะทำให้ลูกน้องอยู่ไม่ได้นาน

"ถ้าเราโวยวาย เขาจะไม่ทำเลย เราต้องมีวิธีให้เขารู้สึกยินดีที่จะทำ และมีความสุขกับการครีเอตงานชิ้นนั้น ผลงานที่ออกมาก็จะต่างกัน ความคิดสร้างสรรค์ก็พรั่งพรู คนทำงานศิลปะต้อง think out of box คิดนอกกรอบ เราต้องให้เขาคิดเต็มที่ อย่าไปกดดัน เรื่องการเลี้ยงลูกก็เช่นกัน ลูกอยากเรียนมิวสิกหรืออยากทำอะไรพี่สนับสนุนเต็มที่ พี่ไม่ใช่แม่ที่เลี้ยงให้ลูกอยู่ในกรอบ บางคนถามว่าทำไม่ให้ลูกเรียนอย่างนี้ อ้าว...แล้วทำไมต้องบังคับให้ลูกเรียนอย่างอื่นที่เราต้องการ เมื่อเขามีความสุขกับการเรียน ลูกก็ไม่เครียด เป็นที่รักของทุกคน ความสุขมันคือตรงนี้มากกว่า เห็นเพื่อนๆ ลูกที่คุณพ่อสั่งให้เรียนวิศวะ พอเรียนจบแล้วเขาก็ไปเรียนอย่างอื่นที่อยากเรียน เสียเวลาไหม เรียนไปอย่างนั้นเอง สรุปไม่มีประโยชน์

กับธนาคารไทยพาณิชย์ ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา เราพยายามสื่อภาพลักษณ์ให้ออกมาในลักษณะว่าเป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือก เหมือนสโลแกน ‘ไปด้วยกัน ไปได้ไกล - Together, we can' แต่ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ณ วันนี้เรามีคู่แข่งมาก ไม่เหมือนในอดีตที่นั่งเฉยๆ ลูกค้าก็มาหา ปัจจุบันมีการแข่งขันกันทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ธนาคารก็ต้องลุกขึ้นมาด้วย ใครยังนั่งอยู่เฉยๆ หรือประมาท ลูกค้าก็หนีหมด และไม่ใช่ว่าวันนี้เรามีบริการอะไรมานำเสนอ แต่เราต้องดูว่าลูกค้าต้องการอะไร ขาดอะไร จากนั้นก็พยายามทำให้ดีที่สุด ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่ว่าสนุก ในขณะที่คนอื่นกลับบ้านนอนหลับสบาย แต่พี่ต้องไปงานเพื่อสร้างสัมพันธภาพและต่อยอดการบริหารงาน แต่ก็ไม่ได้อยู่จนงานเลิกนะ โชคดีที่พี่ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ด้วย ดื่มแต่นมสดมาตลอด หมูหมากาไก่พี่ก็ไม่กิน กินแต่ปลา เมื่อเราดูแลตัวเองสม่ำเสมอ ก็มีพลังทำอะไรได้อีกมากมาย"

ย้อนกลับไปรู้จักกับ ‘เด็กหญิงสุภี'

"สนุกสนาน มองโลกในแง่ดี สดใส เพื่อนเยอะ โกรธใครไม่เป็น เพราะถูกสอนมาว่ามีมิตรดีกว่ามีศัตรู เจอคนทำไม่ดีด้วยบางครั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย มองแต่ด้านบวก คิดดีทำดีมาตลอด เวลาเจอใครที่ดูมีปัญหา หน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้ม พี่ก็จะคิดว่าเขาอาจจะขาดความอบอุ่น หรือก็เข้าใจว่าเขาอาจจะกำลังมีปัญหาอยู่

ถามว่าเด็กๆ ฝันอยากเป็นอะไร...อยากเป็นด็อกเตอร์ คิดแค่ว่าดีเนอะ ไม่มีคำว่า ‘นาง' นำหน้า ‘ด็อกเตอร์สุภี' (หัวเราะ) แต่มาคิดอีกทีมันไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างคืออยากเป็นนักการทูต คงสนุกดีเวลาได้เดินทางไปต่างประเทศ พี่ชอบคนต่างชาติ เพราะมองว่าผู้ชายไทยส่วนใหญ่เจ้าชู้ ในขณะที่ฝรั่งจะเป็น family man โชคดีที่พี่จ้อยเขาโตเมืองนอก ไปใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่ 8 ขวบ นิสัยเลยคล้ายฝรั่ง ความเป็นระเบียบความเป็นไทยเขามีมาก แต่ก็มีความคิดความอ่านแบบฝรั่ง เป็นส่วนผสมที่ลงตัว"

กับสารพัดฉายาตั้งแต่เด็กจนโต

"ฉายาตอนเด็กคือ ‘คุณหญิงระเบียบรอบคอบ นามสกุลอนามัยจังหวัด'" คุณเป็ดตอบแบบจำได้ขึ้นใจ "เพราะชอบเก็บโน่นนี่นั่น หรือไม่ว่าจะไปพักโรงแรมไหน ก่อนกลับก็ต้องเก็บห้องให้เนี้ยบเรียบร้อยเสมอ ธนบัตรก็ต้องเรียงเบอร์ แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เพราะหลังๆ เวลาพูดว่า อุ๊ย แบงก์เน่า พี่จ้อยก็จะบอกว่าเอามาสิ (หัวเราะ) เราก็บอกว่าเรื่องอะไร ไปแลกเอาใหม่ดีกว่า สรุปคือเป็นคนเยอะเรื่องความเป็นระเบียบ อีกอย่างคือกลัวสกปรก อย่างตอนลูกเล็กๆ เวลาเขาอึก็ไม่ค่อยกล้าจับ พี่จ้อยก็บอกว่านี่อึลูกนะ เราก็บอกว่าแต่มันก็คือเชื้อโรคนะ พี่รักสะอาด ชอบล้างมือตลอดเวลา

ใครกินอะไรทิ้งไว้ตามเก็บหมด พี่จะพูดกับลูกเสมอว่ามาทางไหนไปทางนั้น หยิบอะไรมาก็ต้องเก็บตรงที่เดิม หรืออย่างข้าวของที่วางไว้ ใครมาหยิบหันไป 35 องศาจะรู้ทันทีว่ามีคนมาขยับ คือมันอยู่แบบ 90 องศาก็ต้องอยู่แบบนั้น ใครมายุ่งไม่ได้ มันต้องอยู่จุดตรงนั้น กับอีกหนึ่งฉายา ‘เจ้าแม่รูดปื๊ด' ที่หลายคนคุ้นหู มาจากตอนนั้นพี่ทำหนังโฆษณาซึ่งก็ต้องมีคำโดน ชุดนั้นพี่ลงไปลุยกับทีมงานด้วย พอคำว่า ‘รูดปื๊ด' กลายเป็นคำที่ติดปากของผู้ชม พี่เลยกลายเป็นเจ้าแม่รูดปื๊ด โฆษณาชิ้นนั้นดังมาก ทำให้เป็นฉายาติดตัวมาถึงทุกวันนี้ บางสื่อก็ยังเรียกอยู่ ไม่นานมานี้ไฮโซรสแซ่บก็ยังเขียนแซว"

ส่วนอีกหนึ่งฉายา ที่มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามขยันตั้งให้ตาม หน้าหนึ่งของหนังสือบันเทิง ซึ่งหนีไม่พ้นข่าว กับดาราชายรุ่นราวคราวลูก คุณเป็ดพูดด้วย น้ำเสียงราบเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่รับรู้มานานจนชินชาว่า

"มันก็แค่ข่าว เป็นเรื่องของสีสันในการทำข่าว ใครที่ไม่ได้อยู่ในวงการก็อาจจะเชื่อ แต่ถ้าได้เข้ามาสัมผัสใกล้ชิด ก็จะเข้าใจเลยว่าบางอย่างใช่ แต่บางอย่างไม่ใช่ ควรฟังหูไว้หู ถ้ามีประเด็นขึ้นมาก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่ความจริงก็ได้ ต้องฟังทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฟังแต่คนสนิทเรา ถูกไหม เหรียญยังมีสองด้านเลย เราก็ต้องดูทั้งสองด้านแล้วค่อยวิเคราะห์ ตัดสิน พี่จะไม่หูเบาเด็ดขาด เพราะพี่ใส่ต่างหู (หัวเราะ)

ถามว่าแอบโกรธไหม ไม่ เฉยๆ หน้าที่เขา อาชีพเขา เราอยู่ในวงการเดียวกัน บทบาทใครบทบาทมัน ตอนนี้เขาก็รู้กันหมดแล้ว ยิ่งคุ้นเคย กันก็รู้แล้วว่าพี่เป็น ‘เป็ด เชิญยิ้ม' (หัวเราะ) ไม่ได้มีอะไรเลย พี่ไม่กลัวด้วยว่าจะมีคนเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ ถ้าพี่ช่วยเหลือได้ เต็มที่ ถึงเขาจะไม่จริงใจพี่ก็ไม่คิด ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เรามองคนในแง่ดี สบายๆ ไม่เครียด เดี๋ยวแก่เร็ว ยิ่งหน้าแก่แต่กำเนิดแล้ว อย่าแก่เยอะกว่านี้เลย

เพราะความจริงก็คือ เราห้ามความคิดใครไม่ได้ ห้ามใครอ่านไม่ได้ ห้ามใครเขียนไม่ได้ อย่าไปเครียด เพราะทุกคนที่เป็นข่าวพี่จ้อยก็รู้จักหมด น้องๆ ทั้งหลายเข้านอกออกในที่บ้านสบายมาก ชิลล์ๆ เชื่อไหมว่าบางคนที่ไม่รู้จักครอบครัวเรา ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่แต่งงานแล้ว เพราะไม่เคยเห็นพี่จ้อย แต่ ณ วันนี้คือครั้งแรกที่เราถ่ายรูปพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวลงนิตยสาร"

วันว่างจากการทำงาน

"ส่วนใหญ่ก็จะทำงาน เช้าตื่นมาไปทำงาน ทำงานเสร็จกว่าจะกลับบ้านก็ดึก แต่ยังไงก็ต้องดูความเรียบร้อยของบ้านก่อน ว่าอันนี้เข้ามุมหรือเปล่า จะเสียเวลากับตรงนี้เท่านั้นเอง บางครั้งนอนตี 1 ตื่นตี 5 ด้วยซ้ำไป ถ้าสัปดาห์ไหนพักผ่อนน้อย เสาร์อาทิตย์ถ้ามีโอกาสพี่จะไปสปา บ้านเราชอบไปดูหนัง เข้าสปาพร้อมกันทั้งบ้าน ไปช็อปปิ้งก็ไปด้วยกัน แม่ เจ็ท แจน จะเดินกัน 3 คนแม่ลูกเพราะเราวัยเดียวกัน ส่วนพ่อนั่งร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ถ้าไม่โทรมาตามก็เดินทั้งวัน (หัวเราะ) แล้วบ้านนี้จะซื้อเสื้อผ้าฝากกันไม่ได้นะ อย่างพี่จ้อยเขาก็มีแนวของเขา เคยซื้อให้แล้วรู้เลยว่าคนละสไตล์ ต่างคนต่างซื้อเองดีกว่า แต่ถ้าเป็นเรื่องอาหารจะรู้กัน ส่วนถ้าเรื่องไปเที่ยว พี่จ้อยชอบแนววิวๆ ส่วนแม่ลูกชอบโตเกียว ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นต้องตกลงร่วมกันก่อนว่าจะไปไหน เพราะชอบไม่เหมือนกัน"
ใครอยากเจอครอบครัวพงษ์พานิชในวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณเป็ดแอบกระซิบมาว่าส่วนใหญ่จะไปเดินช็อปปิ้งกันที่สยามพารากอนหรือ เซ็นทรัลเวิลด์ และเมื่อถามถึงแบรนด์โปรด ในขณะที่น้องเจ็ทบอกว่าคือ Greyhound กับ Izzue น้องแจนรีบตอบเสียงดังฟังชัดว่า Roxy, Mossimo และ Sretsis คุณเป็ดคิดอยู่นานก่อนบอกว่า "อะไรก็ได้...เอาเป็นว่าเห็นอันไหนชอบซื้อเลย อะไรก็ได้ที่ใส่แล้วไม่อ้วน (หัวเราะ)" คุณเป็ดก้มลงจับสะโพกตัวเองพลางบ่น ว่าตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส น้ำหนักขึ้นมาถึง 5 กิโลกรัม "แต่ที่จะเห็นพี่ใส่ประจำคือ Flynow เพราะว่าคุณลิ้ม (สมชัย ส่งวัฒนา CEO และ Art Director ของ Flynow) คอยดูแลให้ จะรู้สไตล์กัน แต่เดิมพี่ชอบใส่สีดำ สีเข้ม แต่หลังๆ เริ่มเปลี่ยนแล้ว เพราะเวลาไปงานถ่ายรูปออกมาไม่สวย เลยเริ่มใส่เสื้อผ้ามีสีสันมากขึ้น ถ้าดำก็ขอให้มีอะไรนิดหนึ่งอย่างตัวนี้" คุณเป็ดพูดพร้อมชี้ชุดที่ใส่อยู่ให้เราดู เป็นชุดเดรสสีดำเรียบ แต่ว่ามีลวดลายตัวอักษรสีแดงเก๋ๆ ปักอยู่บริเวณคอเสื้อ แน่นอนว่าเป็นของ Flynow "พออายุมากขึ้นมันก็เริ่มเนือยๆ เฉื่อยๆ ทำให้ยิ่งต้องใส่สีสันใหญ่ ดูอย่างฝรั่ง

พี่เข้าใจแล้ว พอแก่เขาจะใส่สีแดง สีเขียว สีเหลือง ซึ่งก็ดีนะ เป็นการช่วยกระตุ้นต่อมalert ให้ตัวเอง ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นจริงๆ"

พูดจบ...ก็ได้เวลาคุณเป็ดไปโพสท่าถ่ายรูปกับลูกๆ ต่อ ท่ามกลางเสียงคิกคักหยอกล้อกัน ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้แอบไปทำความรู้จักกับคุณจ้อย ผู้ชายหน้านิ่งที่แทบจะไม่ออกสื่อ และนั่นยิ่งทำให้เราอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร ทำงานอะไร และรู้สึกอย่างไรที่คนในครอบครัวถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนาในวงสังคมอยู่ เรื่อยๆ

"ผมไม่ค่อยเปิดเผยตัวเท่าไหร่ จะอยู่เบื้องหลังมากกว่า แต่คุณเป็ดเขาขายงาน ต้องเจอสื่อเป็นประจำ มันอยู่ในสายงานเขาซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเคยเตือนแล้วว่าทำงานกับสื่อต้องยอมรับนะ อาจจะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมทำสื่อมาย่อมรู้ดีว่าถ้าไม่พาดหัวข่าวแรงๆ ก็ขายไม่ได้ ยิ่งผมไม่ค่อยปรากฏตัว คนอื่นก็ไม่รู้จัก แต่จริงๆ ทุกคนที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ผมรู้จักหมด เจอมาหมดทุกคนแล้ว บางคนที่เป็นข่าวยังไม่รู้จักพี่เป็ดด้วยซ้ำไป อย่างโดม-ปกรณ์ ลัม เป็นข่าวแล้วเขามาขอโทษถึงได้รู้จักกัน

แต่ผมคิดว่าเฉยไว้ดีกว่า ปล่อยให้เขาเขียนข่าวไป เพราะคุณเป็ดไม่ได้เป็นดารา เขาเป็นคนธรรมดา เป็นเซเลบริตี้คนหนึ่ง ภาพพจน์เขาดีอยู่แล้ว แต่หลายคนพยายามทำให้เขาเหมือนดารา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริง ผมเลยเฉยๆ นอกจากว่าเราเป็นบุคคลสาธารณะ ภาพพจน์ต้องมาก่อน อย่างนั้นถึงค่อยออกมาแก้ตัว

แม้วันนี้เขาเป็นที่รู้จักแล้ว เวลาออกไปไหนกับเขาผมก็ทำตัวเหมือนเดิม เพราะเห็นเขา มาตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่ม popular ผมภูมิใจ มาตลอดว่าเขาเป็นคนเก่ง แต่เรื่องหนึ่งที่ คนอื่นไม่ค่อยรู้คือเขากลัวเข็มฉีดยามาก เวลาไปเจาะเลือดเขาจะสั่งหมอเลยว่าถ้าเจ็บเขาไม่เจาะ และขอเข็มที่เล็กที่สุด ซึ่งกว่าจะดูดเสร็จคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง อะไรก็ตามที่ทำให้เขาเจ็บเขากลัวหมด อีกอย่างคือกลัวแมลงสาบ เห็นแล้วร้องทั้งวัน (หัวเราะ)"

ที่ผ่านมา คุณจ้อยทำงานหนักมาตลอด เคยเป็นทั้งหัวหน้าสำนักข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร แอมบาสเดอร์ เอมเมอรัล และบริษัททานตะวันกรุ๊ป อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกเมื่อครั้งก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ iTV โดยมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิตข่าว

"ตอนนี้ผม early retired เลยมีเวลาดูแลร้านไอศกรีม Party Ice ของครอบครัวเต็มตัว ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานโทรทัศน์ให้กับสำนักข่าวต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น WTN, ABC News, CNN ฯลฯ ขายภาพขายข่าวให้กับสถานีอื่นๆ ที่เป็นสมาชิก ทำอยู่ประมาณ 25 ปี ทุกๆ วันก็จะรอรับโทรศัพท์ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในเอเชีย บางครั้งต้องเดินทางทันที ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวและไม่มีเวลาให้ครอบครัวเท่าไหร่ คุณเป็ดเลยถามว่าอายุ 50แล้วยังจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงอีกหรือ ผมเลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นหันหลังให้งานด้านสื่อ ดีกว่า"

หมุนเข็มนาฬิกากลับไปสมัยเด็ก คุณจ้อยใช้ชีวิตเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ต่างประเทศ เริ่มจากเรียนที่ประเทศอังกฤษ 5 ปี และย้ายมาเรียนต่อที่อเมริกาอีกกว่า 20 ปี ด้วยทุนของกองทัพ จากนั้นจึงกลับมาเป็นทหารรับใช้ชาติในเหล่าสื่อสาร กองบัญชาการทหารสูงสุด แต่ทำได้ประมาณ 15 ปี ก็รู้สึกว่าชีวิตทหารไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง "อาจเพราะตอนอยู่เมืองนอกผมก็เรียนโรงเรียนทหาร เรียกว่าโดน ‘จัดแถว' ให้ตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นคงอยากใช้ชีวิตอิสระบ้าง" ภายหลังคุณจ้อยจึงขออนุญาตคุณแม่ลาออกจากราชการ

ระหว่างเขาและเธอ...เส้นทางเดินที่ไม่น่ามาบรรจบกันได้

"ผมกับคุณเป็ดเราอยู่กันคนละกรุ๊ป แต่บังเอิญมีเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักคนเดียวกัน ต่างคนต่างชอบเล่นเทนนิสเหมือนกัน เลยทำให้มีโอกาสได้เจอกัน เจอคุณเป็ดครั้งแรกก็เฉยๆ ไม่ได้ประทับใจทันที ผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด เขาก็หาว่าผมหยิ่ง ในขณะที่คุณเป็ดเฮฮามีเพื่อนเยอะ" ยังเล่าไม่ทันจบ คุณเป็ด ก็เดินผ่านเราไปพร้อมพูดทีเล่นทีจริงว่า "ดีๆ หน่อยนะจ๊ะที่รัก ไม่ใช่บอกความลับฉันหมดนะ" และไม่ทันได้ตั้งตัว คุณเป็ดก็ เดินมานั่งข้างๆ เราเสียแล้ว เธอเล่าราย-ละเอียดเรื่องรักเมื่อวันวานเสริมว่า "ตอนนั้นพี่กำลังตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ กลับกัน พี่จ้อยเพิ่งกลับมารับราชการทหารที่เมืองไทย ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นเราก็มาเจอกันพอดี จริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะไม่อนุญาตให้พี่ไปเที่ยวไหนเลย ทั้งที่พี่ออกจะเป็นทอมหน่อยๆ ด้วยซ้ำ แต่พอวางแผนว่าจะไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อนที่ธรรมศาสตร์ เลยบอกว่า เป็ด เธอจะไปเป็นคุณนายอยู่เมืองนอกแล้ว กรุณามาเจอกันหน่อย ไปๆ มาๆ เลยได้ไปเที่ยวเขาใหญ่กัน ในรถตู้คันเล็กๆ ที่น่าจะมีแต่ผู้หญิงล้วน กลับมีผู้ชาย 2 คนคือ พี่จ้อยกับเพื่อนเขาเดินทางไปด้วย พี่ก็ไม่กล้าคุยหรอก เห็นเขานั่งหน้านิ่งๆ พอไปถึงเขาใหญ่ คนอื่นสั่งเหล้าสั่งเบียร์กัน แต่พี่สั่งนมเย็น ซึ่งตอนนั้นที่เขาใหญ่อากาศหนาวมาก ไม่มีน้ำแข็ง พนักงานก็ถามว่านมร้อนได้ไหม ระหว่างเด็กมาเสิร์ฟ นมร้อนก็หก...เพล้ง! กระเด็นไปโดนผมกับแว่นพี่จ้อยเละหมด เราก็ ว้ายตาย...ขอโทษ ตกกลางคืน เพื่อผู้หญิงเราที่ฝึกทหารกับพี่จ้อยก็มาเคาะห้องพักว่ามี ยาสระผมไหม จะเอาไปให้เพื่อนที่แกทำนมหกใส่น่ะ พี่เลยให้เขายืมไป พอตอนเช้าจะสระผมก็ต้องไปขอเขาคืน ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น

วันต่อมาพอไปตีเทนนิสกัน ปรากฏว่าเอ็นของแว่นตาพี่จ้อยขาด เลนส์หลุดออกมาเลย ทุกคนรุมช่วยซ่อมให้ก็ใช้ไม่ได้ พี่ก็บอกว่าไหนเอามาลองสิ แป๊ก...ได้ ทำให้เริ่มมีหัวข้อสนทนาอีกแล้ว ขากลับเลยนั่งด้วยกัน คุยกันตลอดทาง หลังจากนั้นพี่จ้อยก็มารับไปกินข้าวเที่ยงทุกวันเป็นเวลา 2 ปี แล้วก็แต่งงานกัน พี่ว่ามันเป็นเรื่องของเนื้อคู่นะคนเรา...คือถ้าใช่มันก็ใช่"

คุณจ้อยไม่รอช้า เล่าให้ฟังต่อว่า "ผมชอบเขาตรงความเป็นธรรมชาติ โชคดีได้ เจอสไตล์ที่เราชอบ เพราะถ้าไปรับใครสักคน แล้วต้องนั่งรอเขาแต่งหน้าแต่งตา เป็นชั่วโมง ผมจะหงุดหงิด คุณเป็ดเป็นคน ไม่เสริมสวยมาก อีกอย่างหนึ่งเขาเป็นคนจิตใจดี ฉลาด เข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ เห็นได้ชัดเลยตอนผมทำงานข่าว เดือนหนึ่งจะอยู่เมืองไทยแค่หนึ่งสัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น แต่เขาเก่ง เราไม่ต้องเป็นห่วงมาก ตอนเขาใกล้คลอดผมยังอยู่ต่างประเทศ เขาก็ไปคลอดเองคนเดียว เป็นคนอื่นหย่าไปแล้ว (หัวเราะ)"

จากที่ไม่สนใจเรื่องความสวยความงาม พอแต่งงาน คุณเป็ดก็สารภาพว่าต้องเริ่มเรียนรู้การแต่งตัวบ้าง เพราะคุณแม่คุณจ้อย - คุณหญิงวัลลีย์ พงษ์พานิช แต่งตัวเก่ง โดดเด่นในแวดวงคุณหญิงทั้งหลาย ซึ่งโชคดีที่เธอซึมซับตรงนั้นมาได้พอสมควร

"คิดว่าพี่จ้อยเห็นคุณแม่แต่งตัว เขาคงอยากให้พี่แต่งบ้าง ทุกเช้าพี่ก็จะถามเขาว่า พ่อ...แม่ใส่ชุดนี้ได้หรือเปล่า กระเป๋าใบนี้ล่ะ ให้พี่จ้อยเลือกตลอด เพราะไม่ชอบเลยจริงๆ ถ้าเลือกเกิดได้ขอเป็นผู้ชาย พี่ชอบแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ทุกวันนี้ก็อยากเป็นผู้ชาย อยู่นะ ผิดกับลูก 2 คนที่รักสวยรักงามมาก

อีกอย่างคือพี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบดอกไม้ แต่จะชอบต้นไม้เลย เพราะอยู่กับเรานานกว่า ดอกไม้เดี๋ยวก็เหี่ยวแล้ว ถามว่าสวยไหม สวย แต่พี่ไม่นิยมซื้อของฉาบฉวย ยกตัวอย่าง 'เป็ด' ทุกคนเห็นพี่ชื่อเป็ดก็จะซื้อของอะไรที่เกี่ยวกับเป็ดมาให้ แต่คุณขา ทำไมไม่ซื้อเป็ดที่ใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่เป็ดเป็นตัวๆ ตั้งเต็มบ้าน ถ้าเป็นเสื้อลายเป็ด ผ้าพันคอเป็ด กำไลหรือต่างหูเป็ด รองเท้าเป็ด จะชอบมากกว่า เพราะมันเกิดประโยชน์ไง ดังนั้นเวลาพี่ซื้ออะไรให้ใคร ก็จะคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย เป็นอันดับแรก"

เห็นว่าเป็นคู่ที่น่ารัก เราเลยขอเดาว่าทั้งคู่คงทำเรื่องโรแมนติกให้กันเป็นประจำ หรือไม่ก็คงมีฉากขอแต่งงานประทับใจแบบในหนัง แต่ผิดคาด คุณจ้อยตอบว่าเขาและคุณเป็ดคบกันแบบเพื่อน

มากกว่า "ไม่ต้องสวีตหวานแหววมาก มันไม่ใช่ธรรมชาติ" นับเป็นครั้งที่ 2 ภายในเวลาไม่กี่นาที ที่เราได้ยินคำว่า ‘ธรรมชาติ' จากปากคุณจ้อย แสดงว่าเขาคงชอบความเรียบง่ายจริงๆ "พอคบกันได้ 2 ปี ทางบ้านมองว่าเราอายุมากแล้ว อยากให้เป็นฝั่งเป็นฝา ผมไม่ได้คุกเข่าขอเขาแต่งงานหรอก แค่นั่งกินข้าว แล้วก็บอกว่า เราแต่งงานกันสักทีนะ ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมาย สไตล์คู่ผมจะง่ายๆ ผมอยู่เมืองนอกมานาน ส่วนคุณเป็ดถึงไม่ได้อยู่เมืองนอกมา แต่ก็มีไลฟ์สไตล์แบบชาวต่างชาติ เลยคุยกันรู้เรื่อง"

ด้านคุณเป็ดขอพูดบ้าง "ตอนเป็นแฟนกัน เราอาจจะมีเอาแต่ใจตัวเองบ้าง ขี้งอน ขี้น้อยใจ แต่หลังๆ คิดได้แล้วว่าทะเลาะกันไปก็เสียเวลา เหนื่อยเปล่า ฉะนั้นไม่ว่าคู่ใครก็ตาม พี่อยากแนะนำว่าเวลาทะเลาะกันทำเฉยๆ ไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่า เพราะเป็นธรรมดาของชีวิตคู่ ขนาดเพื่อนกันยังอดที่จะเคืองกันไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าไปตั้ง step อะไรมาก เคล็ดลับที่ทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวก็คือต้องอดทน คนสมัยนี้นิดหน่อยไม่ได้ เลิกกันง่ายมาก ยิ่งถ้ามีลูก พี่ยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะเด็กอาจมีปัญหาไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กคนไหนครอบครัวอบอุ่นจะร่าเริง สังเกตได้"

หลังจากแต่งงานกันในเดือนมกราคม เดือนธันวาคม คุณเป็ดก็มีบทบาทเพิ่มขึ้นจากการเป็นภรรยา นั่นคือการเป็น ‘คุณแม่' ของลูกชายคนแรก ‘เจ็ท-พงษ์ภัทร์' และอีก 6 เดือนต่อมา ก็ทราบข่าวดีว่ามีเด็กสาวตัวน้อยกำลังนอนหลับสบายอยู่ในท้อง รอวันลืมตาดูโลกกลมๆ ใบนี้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ตั้งชื่อให้เธอแล้วว่า ‘แจน-ธนัชพร'

คุณพ่อจ้อย คุณแม่เป็ด

"เฮี้ยบ ต้องเป็นตาม 1 2 3 อย่างที่วางไว้" คุณจ้อยนิยามคำว่าพ่อในแบบของตัวเองก่อน "ผมโตมาจากครอบครัวทหาร รับคำสั่งอย่างเดียว พอไปอังกฤษก็เรียนโรงเรียนประจำ ไปอเมริกาก็อยู่โรงเรียนทหาร เพราะฉะนั้นจะถูกตีกรอบมาตลอด พอมาถึงรุ่นลูก ผมก็ตีกรอบให้เขา แต่เริ่มจากกรอบแคบๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายให้ใหญ่ขึ้นตามอายุ ดูว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้ไหม ผมหัดให้ลูกรีดผ้าตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เพราะตัวผมเองก็รีดผ้าตอนอายุเท่านี้ ผมบอกลูกว่าอีกหน่อยถ้าไม่มี คนรับใช้แล้วจะทำยังไง แจนเขาก็พูดทำนองว่าเพื่อนเขาไม่เห็นต้องทำ ผมก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราควรจะภูมิใจในตัวเองที่ทำได้ หรืออย่างเวลาไปเที่ยว ผมก็จะวางโปรแกรมไว้เลยว่าต้องตื่นกี่โมง ไปถึงที่ไหนกี่โมง ต้องทำอะไรบ้าง

ในขณะที่คุณเป็ดจะเป็นแม่ประเภทประคบประหงมหน่อย คอยเตือนผมว่าลูกยังเป็นเด็กอยู่นะ แต่เราอาจจะมองว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ เร็วไป ลูกๆ ก็จะชอบเข้าหาคุณเป็ดมากกว่า พอลูกโต เราก็ตัดใจส่งเขาไปอยู่เมืองนอกเลย แต่ที่ไม่ให้ไปอยู่อเมริกาเพราะผมจบอเมริกามา รู้ว่าสิ่งแวดล้อมที่นั่นอาจทำให้เด็กกระเจิดกระเจิงได้ ผมเลยเลือกประเทศที่สภาพแวดล้อมไม่เสียมากนักอย่างนิวซีแลนด์"

"ลูกกับพี่จะคุยกันทุกเรื่อง" คุณเป็ดขยายความ "เดี๋ยวก็มาแล้ว แม่ เพื่อนหนูอย่างนั้นอย่างนี้ อกหักทำไง เพื่อนของลูกหลายคนมาขอเป็นลูกบุญธรรมพี่ พวกเราเลยกลายเป็นแก๊งเดียวกัน พี่ถึงบอกว่าเราวัยเดียวกันไง เพราะเราไม่ได้คิดว่าตัวเองอายุมาก อายุเป็นเพียงตัวเลข เขาก็จะกล้าพาเพื่อนๆ มาที่บ้าน เพราะเขารู้ว่าแม่ยอมรับ บางบ้านไม่ชอบให้เพื่อนลูกมา คิดว่าเกะกะ แต่พี่กลับชอบ พี่บอกเลยว่าอยากรู้จักเพื่อนๆ ลูก เพราะอะไร เราจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพื่อนลูกเป็นเพื่อนพี่ไปหมดแล้วตอนนี้ (หัวเราะ) พี่จะเป็นแนวแม่ใจดี ไปเที่ยวไหนก็ชอบบอกให้แจน กับเจ็ทชวนเพื่อนไปด้วย หรืออย่างเพื่อนน้องแจนมาจากต่างประเทศ ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร มากินอยู่กับพวกเรา พี่ก็พาไปเที่ยว พอถึงวันเกิดเขาซึ่งเป็นวันเดียวกับเจ็ท เราก็ฉลองเบิร์ทเดย์ให้ เขาน้ำตาคลอเลย

อีกอย่างคือ ทุกคนในครอบครัวเราจะชอบพูดกันตรงๆ อย่างที่บอกว่าเราคบกันแบบเพื่อน เฮไหนเฮกัน แต่ถามว่าทุกบ้านมีปัญหาไหม มี เป็นเรื่องปกติ พี่จะบอกตลอดเวลาว่าพี่ไม่ชอบคนสร้างปัญหา พี่ชอบคนสร้างสรรค์ พี่มีหน้าที่แก้ปัญหา เพราะฉะนั้นช่วยกันสร้างสรรค์ดีกว่าไหม อย่าสร้างปัญหาเลย มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นเราก็อย่าไปซ้ำเติม ทำให้ดีขึ้น เรื่องใหญ่ทำให้เป็นเรื่องเล็ก แต่อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะแฮปปี้ คนรอบข้างก็อยากอยู่กับเรา อยากไปไหนมาไหนกับเรา คนเราอย่าไปอะไรกันนักหนา เดี๋ยวก็ตายแล้ว ชีวิตสั้นนัก แล้วพี่จะสอนลูกเสมอว่าอย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ถ้าเราช่วยใครได้ ช่วย บ้านนี้ชอบช่วยเหลือคน จะทำอะไรทำทันที อย่ารอ เรื่องแบบนี้ทำได้เลยไม่ต้องคิด เราชอบเห็นคนมีความสุข"

รู้จักกับ ‘เจ็ท' ชายหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองของทุกเพศทุกวัย

บรรยากาศดีๆ ในการทำงานของวันนี้ (โดยเฉพาะสำหรับ สไตลิสต์) 50% มาจากความน่ารักกรุ้มกริ่ม ง่ายๆ ไม่เรื่องมากของ ‘เจ็ท' ซึ่งคุณเป็ดพูดถึงลูกชายคนนี้ให้ฟังว่า "เจ็ทเขาชอบนั่งชิลล์ๆ สบายๆ มีเพื่อนเยอะ สาวๆ ก็เยอะ" เราแอบเห็นด้วยหางตาว่าน้องเจ็ทรีบโบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ "อ๋อ ไม่บอกๆ มีคนเดียว (หัวเราะ) น้องเจ็ทเขามีความสุขกับการมีเพื่อนทุกรุ่น เดินๆ ไปตกใจ อุ๊ย! วัยนี้ก็มีด้วย อย่างตอนที่เจ็ทกับแจนต้องบินไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นผู้หญิงโทรมาถามว่า คุณแม่น้องเจ็ทหรือคะ มาส่งน้อง เจ็ทไม่ทัน ฝากบอกเขาด้วยนะว่าให้ตั้งใจเรียน ส่วนอีกคนเป็นรุ่นพี่ผู้ชาย วิ่งตามเข้ามาถึงห้อง VIP ฝากน้ำหอมมาให้เจ็ทใช้ พี่ก็งงว่า ทำไมลูกฉันคบแต่รุ่นเดอะทั้งนั้น (หัวเราะ) หรือแม้กระทั่งไปห้างสรรพสินค้า ทุกคนรู้จักลูกชายหมด เดินไปทักไปตลอดทาง เจ็ทเขายิ้มเก่ง มีคนเคยถามว่าเจ็ทโกรธใครเป็นไหม เขาบอกว่าไม่เคยโกรธใครเลย เขาจะใจเย็น แต่ต้องมีเหตุผลนะ เพราะว่าพี่เลี้ยงลูกด้วยเหตุผลทั้งคู่ ทำอะไรก็ต้องมีเหตุผลบอกเขา"

เรายังแอบติดใจที่คุณเป็ดบอกว่า น้องเจ็ทมีสาวๆ มาชอบเยอะ เลยอยากรู้ว่าลูกชายสุดหล่อคนนี้มีเสน่ห์ตรงไหนบ้าง "พี่ว่าผู้ชายนิ่งๆ เงียบๆ ดูมีเสน่ห์ ส่วนผู้ชายเรื่องเยอะ ท่าเยอะ จะไร้เสน่หา ดูง่ายๆ สมมติอย่างเรา พอเห็นผู้ชายนิ่งๆ เออ มีมาดเนอะ น่าค้นคว้า น่าสนใจ เจ็ทเขาจะเป็นลักษณะนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะมีเพื่อนสาวเยอะแยะไปหมด แล้วเขาจะคอยช่วยเหลือเทกแคร์ทุกคน มีสาวๆ อายุ 30 เข้ามาบอกว่า พี่เป็ดคะ ขอยืมเจ็ทไปหน่อยได้ไหม อยากชวนเจ็ทไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ ซึ่งพี่ก็ไม่ได้ห้าม ถามว่าจริงๆ แล้วเราควรต้องช่วยสกรีนไหม ควร แต่ทำไม่ได้หรอก พี่มองว่ามนุษย์เรายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ประสบการณ์จะสอนเอง อย่างตอนเล็กๆ เจ็ทจะเล่นของร้อนหรือเล่นซนอะไร พี่จ้อยปล่อยเลยนะ เดี๋ยวล้มจะได้รู้เอง เราคอยดูอยู่ห่างๆ อันไหนไม่ใช่ก็จะคอยบอก เจ็ท อันนี้แม่ว่าอย่างนี้ แต่ไม่ห้ามนะ เพราะถ้าห้ามปุ๊บ ฉันจะทำทันที นึกออกไหม ฉะนั้นพี่ก็จะบอกว่าลองดูก็ได้ แต่แม่ว่ามันไม่ดีน้า...ก็จะมีวิธีพูดในแบบของเรา

อีกอย่างคือหลายคนชมว่าเขาช่างแต่งตัวเนี้ยบ เวลามีงานเดินแบบ ถ่ายโฆษณา เจ็ทก็จะชอบ พี่มองว่าลูกๆ ทั้งสองคนมีคาแรกเตอร์ มีสไตล์ของตัวเอง มีจุดยืน แต่ที่สำคัญที่สุดคงเป็นเรื่องความเป็น สุภาพบุรุษ สาวๆ มักมาเล่าให้พี่ฟังว่า ชอบน้องเจ็ทจังเลย เวลาไปเที่ยวกันน้องเขาเปิดประตูให้ ถือถุงให้ ตักอาหารให้สาวๆ ทุกคน พี่ก็คิดว่า ตายแล้ว...บรรดาสาวพวกนี้หลอกเด็กหรือเปล่า (หัวเราะ) จริงๆ เขาคงมองว่าสมัยนี้ไม่ค่อยมีผู้ชายแบบเจ็ทแล้ว เวลาไปไหนกับพี่เขาก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน อาจเพราะพี่จ้อยเขาทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งพี่ก็อยากให้ลูกเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ลูกเป็นแล้ว น่ารักดี พี่เองก็ยังชอบ"

จุดเริ่มต้นของการเปิดร้าน Party Ice

"จริงๆ อยากให้ทั้งเจ็ทแจนรู้ว่า การได้เงินมาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ลูกควรรู้ทุกขั้นตอนของการหาเงิน ว่ามันต้องมีการจัดการ การวางระบบ มีบัญชี การตลาด ฯลฯ อยากให้ลูกได้เรียนรู้จากธุรกิจเล็กๆ ก่อนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ ณ ตอนนี้แจนยังไม่มีโอกาสมาบริหารจัดการ ก็เลยให้เจ็ทกับคุณจ้อยดูแลไปก่อน"

ปัจจุบัน คุณจ้อยมีหน้าที่ดูแลร้าน ‘ปาร์ตี้ ไอซ์' เป็นหลัก ส่วนน้องเจ็ท อย่างที่คุณเป็ดพูดติดตลกว่า ‘ตามประสาวัยรุ่น' พอเห็นว่าร้านไปได้ดีแล้วก็หันไปสนใจเรื่องการแต่งรถยนต์ รวมทั้งกำลังวางแผนทำรายการโทรทัศน์ด้วย

"เจ็ทแต่งรถเก่งมาก เริ่มชอบตั้งแต่เห็นการประกวดรถยนต์ที่ประเทศญี่ปุ่น คันนั้นตกแต่งรวมมูลค่า 75 ล้านบาท เขาก็ฝันว่าอยากทำรถแบบนี้บ้าง ตอนนี้ภายในรถเบนซ์ของเขาจะมีเม็ดคริสตัล สวารอฟสกี้ประดับวิบๆ วับๆ ทั้งคอนโซล พวงมาลัย กระจกรถ หรือแม้กระทั่งพื้น เป็นที่รู้กันเวลาไปไหนว่าเป็นรถของเจ็ท จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง บริษัท โตโยต้ามหานคร จำกัด ของคุณ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ (นักร้องนำวงกรูฟไรเดอร์ส) ก็มาให้น้องเจ็ทช่วยแต่งรถให้ เป็นรถสปอร์ตรุ่น GR1 ตอนนี้รู้สึกว่าขายให้ต่างชาติไปแล้ว หรืออย่างคุณชูชัย ชัยฤทธิเลิศ ก็ให้เจ็ทช่วยแต่งรถให้เหมือนกัน"

‘แจน' สาวเสียงใส อารมณ์ดี 24 ชั่วโมง

ส่วนเสียงหัวเราะทุก 5 นาทีที่ได้ยินวันนี้ กว่าครึ่งหนึ่งมาจากสาว ‘แจน' ศิษ&

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook