“พญ.พลอยลดา” คุณหมอไฮโซ กับ 9 ปีงานแพทย์อาสา ที่ทำให้รู้สึกว่า “สุขง่ายขึ้น”

“พญ.พลอยลดา” คุณหมอไฮโซ กับ 9 ปีงานแพทย์อาสา ที่ทำให้รู้สึกว่า “สุขง่ายขึ้น”

“พญ.พลอยลดา” คุณหมอไฮโซ กับ 9 ปีงานแพทย์อาสา ที่ทำให้รู้สึกว่า “สุขง่ายขึ้น”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เซเลบริตี้สาวสวยพ่วงดีกรีคุณหมอ พญ.พลอยลดา ธนาไพศาลวรกุล เธอเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมระดับสูงหรือแวดวงไฮโซ เพราะเธอยังคงออกงานสังคม มีของสะสมเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักหลายแสน เมื่อวางรวมกันแล้วก็เป็นเนินเขาขนาดย่อมๆ รวมทั้งยังเป็นเจ้าของคลินิกความงามลลลนา

แต่ในอีกบทบาทหนึ่งที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าอดีตคุณหนูอย่างหมอพลอยจะเข้าไปเกี่ยวข้องนั่นคืองานแพทย์อาสาของสภากาชาดไทย ซึ่งมีสถานีกาชาดอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเธอเป็นแพทย์ประจำเพียงคนเดียวของหน่วยบริการที่ทำงานตั้งแต่จันทร์-ศุกร์แบบนี้มานานถึง 9 ปี

กับคำถามที่ว่าเป็นไฮโซรวยอยู่แล้วจะไปทำงานแพทย์อาสาเพื่ออะไร รวมไปถึงสาเหตุที่เข้ามาทำงานนี้เพราะต้องการสร้างภาพให้ตัวเองดูดีนั้นจริงหรือไม่ และเธอได้อะไรจากการเข้ามาทำงานแพทย์อาสาที่ได้รับผลตอบแทนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับราคากระเป๋าของเธอ Sanook! Women มีคำตอบเหล่านั้น

หมอพลอยเข้ามาเป็นแพทย์อาสาของสภากาชาดไทยได้อย่างไร

หมอเคยได้คุยกับผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ท่านบอกว่าที่สถานีกาชาดหัวหินในตอนนั้นขาดคุณหมอ จะต้องส่งแพทย์จากกรุงเทพฯ ไปเดือนละครั้ง ผลตอบแทนน้อย เลยไม่มีใครอยากมาประจำ ช่วงนั้นมีแต่พยาบาล ทำอะไรมากไม่ได้ และเพราะต้องการฟื้นฟูให้มีคนกลับมาใช้บริการที่สถานีกาชาด จึงมาถามหมอว่าสนใจจะเข้าไปทำเป็นบางวันหรือเปล่า เพราะท่านทราบว่าหมอเองมีคลินิกอยู่ที่นั่น หมอเลยไปคุยกับที่บ้านปรากฏว่าคุณพ่อสนับสนุนเพราะท่านอยากให้เราทำงานทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนคุณพระมหากษัตริย์ จึงตัดสินใจเข้าไปเป็นคุณหมอประจำที่นั่น ตอนนี้ก็ทำมาได้ 9 ปีแล้ว

ตอนนี้หมอพลอยทำหน้าที่อะไรบ้าง

เป็นแพทย์ประจำสถานีกาชาดหัวหิน สังกัดบรรเทาทุกข์ หมอจะออกตรวจคนไข้ และมีการออกหน่วยปีละ 1 ครั้ง แล้วแต่ว่าจะเป็นหน่วยไหนอย่างหน่วยภัยหนาว หน่วยเรือเวชภัณฑ์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคนยากจน คนไข้ติดเตียง มีทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ หรือแม้แต่เดินทางไปที่ศูนย์ผู้ป่วยยากไร้ ประจวบคีรีขันธ์ ออกตรวจที่นั่นเดือนละครั้งหรือ 2 ครั้ง เพราะที่นั่นไม่มีหมอ หมอจะทำงานนี้ครึ่งวันเช้า ส่วนครึ่งบ่ายหมอจะเข้าไปที่คลินิกของตัวเองที่หัวหิน หรือมาคลินิกที่กรุงเทพฯ

ช่วงแรกของการไปทำหน้าที่แพทย์อาสาที่นั่นรู้สึกอย่างไรบ้าง

ยอมรับว่าช่วงแรกเหนื่อยกับการเดินทาง เคยถอดใจอยากจะลาออกหลายครั้ง แต่ก็ยังทำมาอยู่จนถึง 9 ปี ช่วงแรกคุณพ่อช่วยสนับสนุนเพราะผลตอบแทนของงานนี้มีความจำกัด แต่ต่อมาเราทำธุรกิจของตัวเองแล้วก็สามารถดูแลตัวเองได้ ทุกวันนี้ที่บ้านก็จะขับรถไปส่งที่ทำงานทุกวันตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ ส่วนวันพุธบ่ายหมอเดินทางกลับกรุงเทพฯ และเช้าวันพฤหัสหมอก็จะเดินทางไปทำงานต่อ จนวันศุกร์บ่ายหมอก็นั่งรถกลับ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนรถตู้

เมื่อเข้าไปทำงานแพทย์อาสาแล้วมุมมองในชีวิตของคุณหมอเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

สมัยเรียนหมอจะเป็นคุณหนูหน่อย อะไรเหนื่อย หรือออกต่างจังหวัดหมอไม่เอาเลย คุณพ่อคุณแม่ดูแลเรามาตลอด แต่เมื่อเข้ามาเป็นแพทย์อาสาได้คลุกคลีกับผู้ป่วย เรารู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสาร ทำให้เราปรับความคิดของเรา ชีวิตของเราดีกว่าพวกเขา เรื่องเครียดที่เราเจอเมื่อไปเจอเรื่องของพวกเขาแล้วถือว่าความเครียดของเราน้อยลงไปเลย หมอจึงรู้สึกปล่อยวางได้มากขึ้น อย่างมีคุณยายท่านหนึ่งอายุ 70 แล้วต้องตัดขา เขาดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่บนเตียง เช่าห้องอยู่ ญาติให้ข้าวเป็นอาหารถุง หมอก็เข้าไปดูแลค่าเช่าห้อง ค่าอาหาร ส่งเงินให้คุณยายระยะหนึ่งจนลูกหลานของคุณยายเริ่มเข้ามาช่วยเหลือ หรือบางทีเราก็เข้าไปช่วยซ่อมบ้าน ซ่อมห้องน้ำ บางทีเราก็ใช้เงินของเราเองหรือมาชวนเพื่อนๆ ให้ช่วย เพราะรู้สึกว่าถ้าเราเอาเงินมาใช้กับเรื่องพวกนี้มันจะต่อชีวิตของเขาไปได้อีกหลายปี ดีกว่าเราเอาเงินไปซื้อกระเป๋ากองไว้ที่บ้าน งานนี้จึงทำให้เราได้เปลี่ยนความคิด มองโลกอีกแบบหนึ่ง เป็นคนติดดินมากขึ้น ใช้ชีวิตง่ายขึ้น และมีความสุขง่ายขึ้นด้วย

เมื่อก่อนหมอพลอยรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขยากเหรอคะ

เราแค่คิดว่าทำไมเราต้องทำงานหนักขนาดนี้ เพื่อนเราอยู่สบาย จริงๆ เรามีธุรกิจ ไม่ต้องทำงานนี้ก็ได้ คงเป็นความรู้สึกช่วงแรกที่เรารู้สึกว่ามันลำบากมาก เพราะมันยังไม่ลงตัว แต่พอลงตัวแล้ว เราได้เห็นปัญหาของคนอื่นทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกับการเข้ามาทำงานตรงนี้ ได้ช่วยเหลือพวกเขา แต่ก็ใช้เวลาอยู่ประมาณเกิน 2   ปีกว่าจะลงตัว ช่วงแรกมีงอแงบ้าง แต่พอไปเจอคุณลุง คุณป้าที่โน่นเขาพูดจากับเราดีมาก เราเลยรู้สึกว่าทิ้งพวกเขาไม่ได้ รู้สึกเป็นห่วง แต่ตอนนี้ชินแล้ว และอยากทำไปเรื่อยๆ เท่าที่ตัวเองยังมีแรงทำ

ทราบว่าเพื่อนบางคนถึงกับบอกว่าหมอพลอยโง่ที่ทำแบบนี้

ก็มีที่เขาถามว่าทำไมเราไม่ลาออกแล้วเอาเวลาไปหาเงิน เรารู้สึกว่าเราหาเงินได้อยู่แล้ว ชีวิตเรามีแค่นี้ ใช้แค่นี้ เหลือแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเป็นร้อย เป็นพันล้านเพื่อเก็บไว้ชาติหน้าเพราะเรายังหาเงินได้อยู่ แต่เรากลับรู้สึกว่าเราทำงานตรงนี้แล้วเรามีความสุข เรื่องเงินสำหรับเราจึงเป็นเรื่องเล็ก

หลายคนอาจยังตั้งคำถามว่า ก็หมอมีเงินจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่เดือดร้อน

แต่มันต้องใช้แรง ใช้ใจด้วย คนมีเงินเขาไม่มาทำงานแบบนี้หรอก แต่พอเราได้เข้ามาสัมผัสแล้วรู้สึกว่ามันเป็นเคยความเคยชิน ชินกับลุง ป้า เราสร้างรายได้ของเราเองได้ จนกลายเป็นเรื่องส่วนหนึ่งของเรา เราอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ เราเป็นคนแบบนี้ เมื่อก่อนชีวิตสบาย แต่พอโตขึ้นเรามีความรับผิดชอบ

มีคนเคยสงสัยบ้างไหมว่านี่คือการสร้างภาพของคุณหมอ

ไม่เคยมีใครมาถามตรงๆ แต่คงมีคนเคยคิดแหละว่ามาทำแบบนี้เพราะอยากสร้างภาพ แต่เพราะเราทำมา 9 ปี สม่ำเสมอ จนเลิกคิดกันแล้ว ถ้าสร้างภาพคงจบไปตั้งแต่ 3 ปีแรกแล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครพูดเข้าหู

คุณหมอมีความสุขง่ายขึ้น แล้วเคยเทียบไหมว่าสุขนี้มันต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร

ตอนเด็กๆ เราไม่เคยเข้าใจเรื่องความสุขจากการให้ จนกระทั่งมาทำงานตรงนี้ หมอรู้สึกว่าคนอื่นเขามีความสุขเพราะได้จากสิ่งที่เราทำ แล้วคุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น มันเหมือนเราทำตัวมีประโยชน์ และทำให้เรารู้สึกภูมิใจ สมมุติว่าวันพรุ่งนี้เราจะตายไป เราก็รู้สึกโอเค มันรู้สึกเป็นความสุขที่ดีกว่าการซื้อของ เรามีความสุขในทุกๆ วัน

เมื่อเข้าไปคลุกคลีกับคนป่วย คุณหมอเห็นปัญหาด้านการแพทย์ของบ้านเราอย่างไรบ้าง

คนไทยน่าสงสารมาก เพราะฐานะไม่ดี และมีค่าใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ เราช่วยได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่ภาพรวมลำบาก นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว แต่อีกหนึ่งปัจจัยหลักๆ คือเรื่องเงิน ซึ่งเป็นวงจรแบบนี้ ดังนั้นอะไรที่เราช่วยได้เราก็อยากช่วย คุณภาพชีวิตพวกเขาต่ำ ความเครียดเขาก็สูง พอเรามาเห็นชีวิตคนในกรุงเทพฯ เรารู้สึกว่าเรายังทำได้อีกเยอะ

ทุกวันนี้หมอพลอยยังคงนั่งรถไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ-หัวหินทุกวันเพื่อตรวจคนไข้ แม้จะเหนื่อย และต้องตื่นเช้าสม่ำเสมอ แต่หมอพลอยยังมุ่งมั่นที่จะทำงานนี้จนกว่าจะหมดแรง

 ขอบคุณสถานที่ : Casa La Pin เซ็นทรัลเวิลด์

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook