3 โรคหน้าหนาว แม่ท้องต้องรับมือเมื่ออากาศเปลี่ยน

3 โรคหน้าหนาว แม่ท้องต้องรับมือเมื่ออากาศเปลี่ยน

3 โรคหน้าหนาว แม่ท้องต้องรับมือเมื่ออากาศเปลี่ยน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หน้าหนาว อากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้หลายคนป่วย เป็นหวัด เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ กันได้ง่ายขึ้น แล้วยิ่งหากกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ภูมิต้านทานอาจจะลดลง หรือมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เจ็บป่วยที่ต้องระวังมากขึ้น มี โรคหน้าหนาว อะไรบ้าง ที่คนท้องต้องระวังใส่ใจมากเป็นพิเศษ มาเตรียมพร้อมไว้

3 โรคหน้าหนาว แม่ท้องต้องเตรียมพร้อมรับมือ

1. ไข้หวัดใหญ่

เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว เป็นอีกช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza มีความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาที่ ไข้หวัดใหญ่อาจจะเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงได้ โดยเฉพาะคนท้อง เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ เช่น ทำให้เกิดปอดบวม ปอดอักเสบติดเชื้อ

อาการ

  • มีอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว
  • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะที่หลัง ต้นแขน ต้นขา
  • ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
  • คัดจมูก มีน้ำมูกใส ๆ ไอแห้ง ๆ
  • อาการจะทุเลาและหายป่วยภายใน 5 – 7 วัน หากไม่เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ

เป็นไข้หวัดใหญ่ตอนตั้งครรภ์ อันตรายอย่างไร ?

  • ระวังโรคแทรกซ้อน หากเป็นไข้หวัดใหญ่ระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะภาวะปอดบวม ปอดอักเสบ ติดเชื้อในอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งอาจรุนแรงจนเสียชีวิตได้

เตรียมพร้อม ป้องกันไข้หวัดใหญ่

  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แม่ท้องที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งควรเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย โดยสามารถฉีดได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจะผ่านรกจากมารดาสู่ลูกในครรภ์ด้วย ทำให้เมื่อคลอด ลูกจะมีภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่แรกเกิด

การรักษาไข้หวัดใหญ่เมื่อตั้งครรภ์

  • ดูแลรักษาช่วงแรกได้เองที่บ้าน เมื่อมีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว
  • ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มแอสไพริน
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารอ่อน ๆ และให้นอนพักผ่อนมาก ๆ
  • ไปพบแพทย์ สำหรับคนท้องหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน หรือ สังเกตว่ามีอาการอื่นด้วย เช่น ไข้สูง ซึม หายใจหอบหายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก หน้ามืด ควรรีบไปพบคุณหมอ

2. อีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใส (chickenpox) เป็นโรคที่มักแพร่ระบาดในช่วงหน้าหนาว เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดยส่วนใหญ่จะหายได้เองไม่น่าวิตกกังวล แต่หากมาเป็นอีสุกอีใสตอนตั้งท้อง อาจจะเป็นฝันร้ายของคนเป็นแม่ก็ได้

อาการ

  • ในผู้ใหญ่จะเริ่มด้วยมีไข้สูง
  • ภายใน 1-2 วัน ไข้ลด แต่ผิวหนังจะขึ้นผื่นอย่างรวดเร็ว เริ่มจากลำตัว ใบหน้า ก่อนจะลามไปถึงแขนและขา
  • ผื่นจะกลายเป็นตุ่มพองมีน้ำใสอยู่ในตุ่มนาน 4-6 วัน
  • แผลเริ่มตกสะเก็ดประมาณ 1-3 วัน และแผลจะจางลงเป็นปกติใน 2 สัปดาห์

เป็นอีสุกอีใสตอนตั้งครรภ์ อันตรายอย่างไร ?

- ทารกพิการ ถ้าเป็นโรคสุกใสในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้เด็กในครรภ์พิการได้ เรียกว่า “กลุ่มอาการอีสุกอีใสแต่กำเนิด” (Congenital varicella syndrome) ทำให้มีแผลเป็นตามตัว แขนขาลีบ ตาเล็ก ต้อกระจก ศีรษะเล็ก ปัญญาอ่อน เป็นต้น

- ทารกคลอดมาเป็นอีสุกอีใสรุนแรง ถ้าเป็นอีสุกอีใส ระหว่างตั้งครรภ์ในระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือ หลังคลอด 2 วันอาจทำให้ทารกที่เกิดมาเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้

เตรียมพร้อม ป้องกันอีสุกอีใส

- ฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่หากเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ก็มักจะไม่เป็นอีก อย่างไรก็ตามก่อนตั้งครรภ์ หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเคยติดเชื้ออีสุกอีใสมาก่อนหรือไม่ ก็ควรจะปรึกษาหมอให้แน่ใจ

- คุมกำเนิดหลังฉีดวัคซีน หากวางแผนตั้งครรภ์ แล้วฉีดวัคซีนอีสุกอีใส หลังฉีดวัคซีนควรคุมกำเนิดนาน 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย

การรักษาอีสุกอีใสเมื่อตั้งครรภ์

  • เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล อย่ากินยาแอสไพรินเพราะอาจมีอาการแพ้ยาได้
  • ทายาแก้คัน เช่น คาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion)
  • ตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการเกา เกิดการติดเชื้อ
  • ใช้น้ำเกลือสำหรับล้างแผล เช็ดตามตุ่มแผลเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ถ้าเป็นอีสุกอีใสตอนตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาหมอ เพื่อเฝ้าระวังโรคแทรกซ้อน
  • รีบไปพบคุณหมอเมื่อสงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อน เช่น มีไข้สูงต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะกินยาแล้ว ตุ่มใสเป็นหนอง ไอมากมีเสมหะ หอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก ปวดศีรษะรุนแรง
  • หากตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป ต้องหมั่นนับลูกดิ้น หากพบว่าลูกไม่ดิ้น มีความผิดปกติ ต้องรีบไปพบหมอทันที
  • แม่ท้องต้องสังเกตว่ามีอาการท้องแข็ง หรือเจ็บท้องก่อนกำหนดหรือไม่

3. หัดเยอรมัน

หัดเยอรมัน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อหัดเยอรมัน ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า "รูเบลลา" (Rubella) พบได้มากในจมูกและลำคอ เป็นอีกหนึ่งโรคไข้ ออกผื่น ที่พบระบาดในช่วงหน้าหนาว เช่นเดียวกับอีสุกอีใส

อาการ

  • เริ่มมีไข้ต่ำ ๆ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัวและตามข้อเล็กน้อย
  • หลังจากเป็นไข้ 1-2 วัน จะเกิดผื่นแดงบริเวณใบหน้า แล้วกระจายไปตามลำคอ ตัว แขน ขา
  • บริเวณหลังหูข้างท้ายทอย จะคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตเล็กน้อย กดเจ็บ อาการ ดังกล่าวจะมีอยู่ 2-3 วัน

เป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายอย่างไร ?

ทารกผิดปกติ หรือพิการ หากป่วยเป็นหัดเยอรมัน ในช่วงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์แรก ทารกในครรภ์ อาจมีปัญหาความผิดปกติหลายอย่าง และความพิการที่เห็นได้ชัดคือ ตาเป็นต้อกระจกหรือต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการแต่กำเนิด และมีความผิดปกติทางสมอง

เตรียมพร้อม ป้องกันก่อนเป็นหัดเยอรมัน

- ฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ก่อนการแต่งงาน หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมันหรือเช็­­­กประวัติการฉีดวัคซีนในวัยเด็ก หากไม่มีประวัติการฉีดหรือตรวจพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกันต่อหัดเยอร­­­มัน ก็ควรฉีดวัคซีน และถ้าฉีดวัคซีนหัดเยอรมันควรคุมกำเนิดไว้ 3 เดือน

- ห้ามใกล้ชิดผู้ป่วยหัดเยอรมัน ขณะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกควรหลีกเลี่ยงให้ห่างจากผู้ป่วย หรือผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นหัดเยอรมัน

การรักษาหัดเยอรมันเมื่อตั้งครรภ์

  • รักษาตามอาการ ถ้ามีไข้สูงให้กินยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol)
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin)
  • ทายาแก้ผดผื่นคัน หรือคาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion) ทาบริเวณที่คันวันละ 2-3 ครั้ง
  • ปรึกษาหมอ ถ้าเป็นหัดเยอรมันตอนตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาหมอ
  • ยุติการตั้งครรภ์ หากตรวจวินิจฉัยได้แน่ว่าติดหัดเยอรมันในช่วงท้อง 3 เดือนแรก หมอมักจะแนะนำให้ยุติการตั้งครรภ์ หรือทำแท้ง เพราะโอกาสเด็กจะพิการมีถึง 50% ดังนั้นถ้าเมื่อป่วยเป็นหัดเยอรมันตอนตั้งท้อง ควรรีบปรึกษาหมอเพื่อการดูแลที่ถูกต้อง
  • ฉีดอิมมูนโกลบูลิน (Immunoglobulin) หากในบางรายที่หมอไม่ได้ยุติการตั้งครรภ์ อาจจะฉีดอิมมูนโกลบูลินให้ ซึ่งวิธีนี้แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อของทารกในครรภ์ได้ แต่ก็สามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคที่เกิดกับทารกได้

ในขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้แม่ท้องเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติ และเมื่อป่วยแล้วอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรือเจ็บป่วยรุนแรงได้มาก เพราะภูมิต้านทานร่างกายที่ลดลง จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ

ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ กินวิตามินคนท้อง เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อน ออกกำลังกายให้พอดี ก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายไม่ให้เจ็บป่วย และดูแลลูกน้อยในท้องให้แข็งแรง สมบูรณ์จนคลอดออกมาได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook