ชัยชนะของคน(ภูมิ)แพ้

ชัยชนะของคน(ภูมิ)แพ้

ชัยชนะของคน(ภูมิ)แพ้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากส่วนหนึ่งของชีวิตคือการแข่งขัน คงไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้
เมื่อพลาดท่า มนุษย์ผู้มีแรงสู้ย่อมลุกขึ้นมาฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อเตรียมสู้ครั้งใหม่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคู่ต่อสู้คือ ร่างกายของเราเอง ร่างกายที่ไม่เชื่อฟังความคิด อวัยวะที่ทำงานผิดปกติ ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดพลาด หรือที่ทางการแพทย์ให้คำจำกัดความว่า "โรคภูมิแพ้"จะทำอย่างไรดี เมื่อต้องขึ้นสังเวียนกับศัตรูรายนี้

จะสู้ด้วยยาที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อทำลายอาการ ซึ่งไม่รู้ว่าผลลัพธ์คืออะไร หรือโบกธงขาวยอมจำนนด้วยการใช้ชีวิตอย่างทรมานตามบทลงโทษของศัตรู ไม่ว่าทางใด บทสรุปคือ ไม่ชนะ "ทำอย่างไรจึงจะชนะ" คุณตาล-วนิษฐา ฉันทานุศาสน์ สาวนักบริหารวัย 30 ต้นๆ ผู้นำเข้าจักรเย็บผ้ายี่ห้อหนึ่ง ถามตัวเองเมื่อรู้ว่าศัตรูล่องหน ที่ทำให้ร่างกายผิดปกติคือ โรคภูมิแพ้ ทางเลือกของเธอคือ เอาชนะพฤติกรรมสุขภาพผิดๆ สู่การเลิกเป็นคนขี้แพ้ (ภูมิคุ้มกันตัวเอง)

อดีตคนขี้แพ้
คุณตาลแพ้ ส่วนผสมหลายอย่างในเบเกอรี่ ซึ่งเป็นอาหารที่โปรดปราน เธอกล่าวว่านอกจากเบเกอรี่แล้วยังชอบอาหารอีกหลายชนิด ที่เป็นปัจจัย กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ "เราเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ชอบกินขนมเค้กมาก กินได้ตลอด ยิ่งถ้านัดสังสรรค์กับเพื่อนตามร้านอาหารก็ไม่พ้นกินขนมเค้ก นอกจากนี้ยังชอบกินขนมปัง สปาเกตตี้มากด้วย เรียกว่าอะไรที่เป็นแป้งก็ชอบหมด "เห็นเป็นผู้หญิงรูปร่างไม่ใหญ่แต่กินเก่งมาก ชอบกินบุฟเฟต์เนื้อวัว เนื้อหมูมาก พี่สาวและน้องสาวก็ชอบเลยชวนกันกินตลอด พวกของมัน ของทอดก็ชอบ หนังไก่ทอดนี่เป็นอีกหนึ่งอาหารโปรดเลย กาแฟก็เป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ ตามประสาคนทำงาน"

ฟังดูแล้วพฤติกรรมการกินของคุณตาลไม่ผิดแปลกจากคนทั่วไปคือ กินอาหารตามรสชาติที่ชอบ ซึ่ง อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิตให้คำจำกัดความว่า นี่เป็นพฤติกรรมการกินผิดๆ ส่วนการใช้ชีวิตที่แบ่งสรรเวลาทำงาน พักผ่อน และออกกำลังกายไม่ถูกต้อง คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบผิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและเกิดโรคต่างๆตามมา "ตอนเรียนจบใหม่ๆ เราทำงานเกือบทั้งคืนเลย กลับบ้านมาตอนเย็น อาบน้ำพอรู้สึกสดชื่นก็นั่งทำงานจนถึงตี4 ตอนเช้าตื่นไปทำงานต่อ หลังเลิกงานถ้าวันไหนมีสังสรรค์กับเพื่อนก็ไปกินข้าวกัน กว่าจะกลับบ้านก็เที่ยงคืน "ถ้าวันไหนว่างก็ดูหนังที่บ้านจนถึงตีสอง ซึ่งถือเป็นเวลานอนปกติ ออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย เพราะตอนนั้นคนนิยมเล่นฟิตเนส เราไปสักพักแต่ก็เลิก จนอายุใกล้ 30 ปี รู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนไป" ร่างกายที่เสื่อมลงตามอายุ และระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดๆ คือ จุดอ่อนของร่างกายที่ "ภูมิแพ้" ศัตรูตัวฉกาจโจมตีสุขภาพทันที

แพ้ภูมิ...ภูมิแพ้
ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่เจ็บป่วยด้วยโรคที่มักเกิดในผู้สูงอายุ ที่ชีวจิตนำเสนอมาโดยตลอดเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า อาหารและการใช้ชีวิต สามารถร่นระยะเวลาให้ความเสื่อมเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้น เท่ากับที่สามารถชะลอโรคภัยให้ไกลตัวออกไปได้ "ตอนนั้นอายุ 29 ปี สังเกตตัวเองว่าตื่นเช้าขึ้นมาไม่สดใส ไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่มีพลังทำงาน ผิดกับเมื่อก่อนที่อดนอนก็ยังลุกขึ้นไปเรียน ไปทำงานได้

"ส่วนที่เห็นได้ชัดคือ มีสิวขึ้นที่ใบหน้า ทั้งที่ไม่เคยมีเลย เราไม่คิดอะไรมาก อาจเป็นสิวฮอร์โมนที่ขึ้นในช่วงใกล้มีประจำเดือนก็ได้ จึงไปรักษาที่คลินิกรักษาสิว โรคผิวหนังทั่วไป คุณหมอ กดสิว ฉีดสิว ให้กินยา เราทำตามอย่างเคร่งครัด ไปพบคุณหมอทุกสัปดาห์ ผลคือสิวเม็ดเก่าหาย แต่เม็ดใหม่ก็ยังขึ้นมา "นอกจากนี้ยังทิ้งแผลเป็นไว้ตามใบหน้าอีกด้วย คุณหมอก็แนะนำให้ทำทรีทเม้นท์ เลเซอร์ เราทำตามหมด แต่กังวลแล้วว่าใบหน้าจะเป็นอย่างไร แสงเลเซอร์จะทำให้หน้าเราดีขึ้นจริงไหม หรือจะทำให้แย่ลง หลังทำสักพัก รู้สึกว่าใบผิวหนังใบหน้าบางลง ระคายเคืองง่าย คราวนี้เริ่มคิดหาสาเหตุที่แท้จริงแล้วว่าเกิดจากอะไร"

คุณตาลมองหาต้นเหตุของความผิดปกติ จนเมื่อคุณหมอตรวจเลือดอย่างละเอียดจึงทำให้ทราบว่าร่างกายแพ้ส่วนผสมหลายอย่างในเบเกอรี่ ความอ่อนล้าและสิวที่เกิดขึ้นเกิดจากสิ่งที่เธอกินเข้าไปเป็นจำนวนมาก มากจนร่างกายประท้วงให้หยุดเสียที

"ตอนแรกเราไม่เชื่อเท่าไร เพราะกินมาตั้งแต่เกิด ตลอดชีวิต ไม่เป็นอะไรเลยพ่อแม่พี่น้องไม่มีใครแพ้ เราจะแพ้ได้อย่างไร แต่คุณหมอบอกว่าร่างกายคนเราตอบสนองไม่เหมือนกัน เรากินมาตั้งแต่เด็ก สะสมมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ร่างกายบอกว่าหยุดได้แล้ว

"คุณหมอสั่งให้เราเลิกกินอาหารที่มีส่วนผสมของสิ่งที่เราแพ้ ให้งด 6 เดือน ตอนแรก เราไม่เชื่อหรอก กินมาทั้งชีวิตเลิกได้ไง คุณหมอบอกว่าถ้าไม่เลิกก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร แน่นอนว่าสิวขึ้นทันที คราวนี้ไม่ไปหาหมอรักษาสิวแล้ว เพราะรู้ที่มาแล้ว แต่ก็ยังกินขนมเค้กอยู่ เพราะอดไม่ได้ เป็นความขัดแย้งในตัว

"นานเข้าเราเริ่มไม่ไหวแล้ว บอกกับตัวเองว่าจะลดลง ก็พยายามอดทน ข่มใจกินให้น้อยลง ระหว่างนั้นมีคนแนะนำให้ไปทำหลายอย่าง เราก็ลองหมด ทั้งคีเลชั่นและล้างลำไส้ ทั้งสองอย่างต้องไปทำต่อเนื่อง จนคิดว่าต้องมีวิธีอื่นที่เป็นการพึ่งตัวเองและไม่เสียค่าใช้จ่ายสูง" วิธีของเธอก็คือ เอาชนะความคุ้นชินที่ผ่านมา เพื่อเลิกแพ้ตลอดไป

ภูมิแพ้แก้ได้
"ปรับ" คือกลยุทธ์ที่คุณตาลนำมากำราบภูมิแพ้ ในที่นี้หมายรวมถึงปรับพฤติกรรมและปรับใจให้เข้มแข็งต่อสู้กับความเคยชินที่ติดตัวมานานกว่า 30 ปี

"ตอนนี้ปรับอาหารแบบสมบูรณ์แบบเลย ปรับมาเกือบปีได้ ไม่กินแล้วหนังไก่ ของมัน งดขนมปัง เบเกอรี่ โดยเฉพาะสปาเกตตี้และขนมเค้ก ถามว่าทรมานไหม บอกได้เลยมาก เวลาเพื่อนนัดเจอที่ร้านเค้ก เราต้องหายใจเข้าลึกๆเลย บอกตัวเองว่า ‘มันไม่ดีกับเราเลย ไม่คุ้มที่ชั่วเวลาเดียวแล้วกลับไปสิวขึ้น ทิ้งแผลเป็นไว้ 4-5 เดือน แถมสุขภาพเสีย'

"เชื่อไหมว่าช่วงไหนที่สามารถหยุดกินติดต่อกันได้นาน 2 สัปดาห์ หน้าเนียนเลย ไม่มีสิว ร่างกายสดชื่น"

การจะเอาชนะอย่างยั่งยืนไม่อาจทำได้เพียงการกระทำเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นคุณตาลจึงเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตแบบสมบูรณ์ เพื่อสุขภาพแข็งแรงแบบยั่งยืน "เราเห็นผลว่าการกินช่วยให้อาการแพ้ดีขึ้นมาก จึงปรับด้านอื่นๆในชีวิตด้วยอย่างแรกคือ เข้านอนเร็วขึ้น วันไหนนอน 4- 5 ทุ่มได้ ตื่นขึ้นมาสดชื่นมาก รู้สึกสมองทำงานเต็มที่ เหมือนได้ชาร์จแบต

"ออกกำลังกายมากขึ้น วิ่งและเข้าฟิตเนส ผลคือ รูปร่างไม่เปลี่ยน แม้จะ 30 แล้ว ทั้งที่ยังกินเก่งเหมือนเดิม เข้าใจทันทีเลยว่า ถ้าเลือกกินเป็น กินของมีประโยชน์ จะสามารถคุมน้ำหนักได้ ผิดกับเมื่อก่อนที่กินขนมเค้กไปนิดหน่อย น้ำหนักก็ขึ้นแล้ว"

ทว่า การแข่งขันระหว่างร่างกายและภูมิแพ้คือ การที่เธอจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้โรคนี้กลับมาเล่นงานอีก "ลึกๆเราหวังว่าจะหายขาด เพราะอ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ เห็นว่ามีคนที่เอาชนะได้ ตอนนี้วางแผนไว้ว่าจะต้องหยุดกินของที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ 1 ปี ดูว่าดีขึ้นไหม ถ้าไม่ดีขึ้นจะหยุดต่อไป และจะดูแลสุขภาพต่อไป

"จะไม่คิดว่าร่างกายไหว ฟังเสียงร่างกายตัวเองมากขึ้นและบริหารเวลาให้ดีขึ้น เพราะตอนนี้ตระหนักแล้วว่า ในเมื่อเราใช้ร่างกาย ความเสื่อมย่อมตามมา วันนี้อาจไม่เป็น ไม่ใช่ว่าโชคดี เพียงแค่ยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง และจะมาในรูปแบบใดก็ไม่รู้ ถ้าถึงเวลานั้นจะแก้ไขยาก  "ป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ คือ สิ่งที่ดีที่สุด" เพราะหากเพลี่ยงพล้ำสิ่งเดิมพันคือ สุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต

Hi-Light1
"ตอนแรกเราไม่เชื่อเท่าไร เพราะกินมาตั้งแต่เกิด ตลอดชีวิต ไม่เป็นอะไรเลยพ่อแม่พี่น้องไม่มีใครแพ้ เราจะแพ้ได้อย่างไร แต่คุณหมอบอกว่าร่างกายคนเราตอบสนองไม่เหมือนกัน เรากินมาตั้งแต่เด็ก สะสมมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ร่างกายบอกว่าหยุดได้แล้ว"

Hi-Light2
"ตอนนี้ปรับอาหารแบบสมบูรณ์แบบเลย ปรับมาเกือบปีได้ ไม่กินแล้วหนังไก่ ของมัน งดขนมปัง อาหารที่ทำจากแป้งสาลี โดยเฉพาะสปาเกตตี้และขนมเค้ก ถามว่าทรมานไหม บอกได้เลยมาก เวลาเพื่อนนัดเจอที่ร้านเค้ก เราต้องหายใจเข้าลึกๆเลย บอกตัวเองว่า ‘มันไม่ดีกับเราเลย ไม่คุ้มที่ชั่วเวลาเดียวแล้วกลับไปสิวขึ้น ทิ้งแผลเป็นไว้ 4-5 เดือน แถมสุขภาพเสีย'


ขอบคุณภาพประกอบจาก photos.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook