กามสูตร...สูตรแห่งกามารมณ์

กามสูตร...สูตรแห่งกามารมณ์

กามสูตร...สูตรแห่งกามารมณ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
จากคอลัมน์ The Sex Files
รศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์


กล่าวกันว่า กามารมณ์เป็นสีสันแห่งความรัก เป็นสัมผัสแห่งรักที่จับต้องได้ เป็นการบอกรักหรือแสดงความรักด้วยภาษากาย เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ประสานสอดคล้องกันไปภายใต้อารมณ์พิศวาส เป็นการถ่ายทอดความรักผ่านอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายคือผิวหนัง เป็นการปลดปล่อยอารมณ์รักใคร่พิศวาสผ่านการกระทำที่มอบความสุขให้แก่กันและกัน ช่วยเหลือกันที่จะทำให้ไปถึงฝั่งฝันที่เป็นจุดหมายปลายทางหรือจุดสุดยอดร่วมกัน

กามารมณ์หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ ว่า เซ็กซ์ จึงไม่ใช่การจับเอาอวัยวะส่วนกลางของลำตัวมาประทับกัน เพียงแต่อวัยวะส่วนนั้นถูกออกแบบมาให้เหมือนการนำเอาลูกกุญแจมาไขแม่กุญแจ เพื่อจะเปิดประตูแห่งความรักความพิศวาสเข้าไปพบกับความสุขของการร่วมรัก...เท่านั้น

แท้ที่จริงแล้ว อวัยวะเพศของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ระหว่างขา และอยู่ระหว่างหู ซึ่งก็คือสมองของคนเรานั่นเอง ความสุขสุดยอดแท้ที่จริงแล้วเกิดขึ้นในสมองของคนเรา การจะเกิดบทอัศจรรย์ได้นั้น ตามองเห็น หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส และผิวหนังได้รับการสัมผัส อายตนะทั้งห้าที่รับรู้คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ก็จะถ่ายทอดผ่านอวัยวะที่รับความรู้สึกอันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง

จากนั้นก็จะส่งต่อผ่านประสาทสัมผัสพิศวาสไปยังสมองส่วนที่เรียกว่า “HYPOTHALAMUS” ซึ่งจะมีจุดศูนย์กลางแห่งความรับรู้ทางเพศที่เรียกว่า “PARAVENTRICULAR NUCLEUS” เรียกสั้นๆ ว่า PVN ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดความรับรู้ไปยังอวัยวะที่จะตอบสนองต่อการปลุกเร้าอารมณ์พิศวาสดังกล่าวให้เริ่มปฏิบัติการอันสุนทรีย์

...อวัยวะแห่งความเป็นชายก็จะเกิดการตื่นตัว เพราะเส้นเลือดส่วนนั้นจะเกิดการขยายตัวขึ้น มีเลือดมาคั่งมากขึ้น จนพองตัวเต็มที่พร้อมที่จะปฏิบัติการไขกุญแจแห่งความหฤหรรษ

...อวัยวะแห่งความเป็นหญิงก็จะมีเลือดมาคั่ง ปุ่มพิศวาสที่มีชื่อว่าคลิตอริส ก็จะขยายตัวขึ้นรอรับการสัมผัสเสียดสีที่จะนำไปสู่จุดสุดยอด ภายในจุดซ่อนเร้นก็จะมีการหลั่งเอาน้ำหล่อลื่นต่างๆ ออกมาทำให้วิหารแห่งความรักของเธออบอุ่น ชุ่มชื้น รอการเข้ามาสัมผัสของอวัยวะของเขาคนนั้น

และเมื่อเกิดการเสียดสีสัมผัสรักกันในช่องทางรักนั้นแล้ว ผลของการสัมผัสเสียดสีที่เป็นจังหวะจะโคนก็จะไปกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสเสน่หาต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ในอวัยวะของเขาและเธอ ส่งถ่ายต่อความรักจากการสัมผัสกลับคืนไปยังจุดศูนย์กลางในสมองดังกล่าวข้างต้น จนเมื่อจังหวะสุดท้ายมาถึง เขาและเธอก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความสุขสมร่วมกัน


...นั่นเป็นความสุนทรีย์แห่งกามารมณ์ที่เป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ และเป็นสีสันแห่งความรัก เป็นความรับรู้มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว... เป็นศาสตร์และศิลปะแห่งการร่วมรักที่ทุกคนควรจะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการสุขสมร่วมกัน

วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ยืนยันว่า การมีชีวิตคู่อย่างมีความสุขทำให้มีสุขภาพดีและมีคุณภาพชีวิต รากฐานของความเชื่อดังกล่าวมาจากการมีความรักความอบอุ่นของการมีเพื่อนใจ มีคู่ครอง คู่คิด คู่ชีวิต ร่วมกัน และส่วนหนึ่งของการแสวงหาความสุขร่วมกันก็คือ...การร่วมรัก

เพราะในการร่วมรักที่เป็นสุขร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขออกมาที่เรียกว่า ENDORPHINE (เอ็นโดฟิน) สารนี้เมื่อหลั่งออกมาแล้วก็จะทำให้เกิดการผ่อนคลายหายเครียด นอนหลับฝันดี ผลที่ตามมาก็คือ การนอนหลับสนิท และในนิทราอันแสนสุขนั้นก็จะมีการผลิตฮอร์โมนต่างๆ นานา ออกมา ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนแห่งความเป็นหนุ่มสาว ฮอร์โมนต่อต้านความเครียด ฯลฯ ฮอร์โมนต่างๆ เหล่านี้จะทำงานประสานสอดคล้องกัน จนทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จนร่างกายเกิดความสดชื่น จิตใจแจ่มใสเบิกบาน และมีความสุข ผลที่ตามมาก็คือ การคืนความเป็นหนุ่มสาวและการมีอายุยืนยาวอย่างมีสุขภาพดี...นั่นเป็น “SEX FOR HEALTH”

เป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการร่วมรักที่จักรพรรดิ์หวงตี่ หรือที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิเหลืองกับสนมเอกของพระองค์ได้ร่วมกันค้นคว้าและจารึกไว้เป็นหลักฐานมานานเกือบ 3,000 ปีแล้ว และศาสตร์และศิลป์แห่งการร่วมรักดังกล่าวก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ใครสนใจจะอ่านต่อในรายละเอียดน่าจะลองซื้อหามาอ่านได้แก่ “เต๋าแห่งความรักและกามารมณ์” หรือจะอ่าน “บัณฑิตหลังเที่ยงคืน” ก็น่าจะได้

บริบทแห่งการร่วมรักเพื่อสุขภาพที่จักรพรรดิหวงตี่ ร่วมกับสนมเอกของพระองค์ร่วมกันค้นคว้า และจารึกนี้น่าจะได้รับการนับถือว่าเป็นตำราแห่งกามารมณ์ฉบับแรกของโลกก็ว่าได้
...และยังคงเป็นตำราที่ทรงคุณค่าควรแก่การเก็บสะสม ค้นคว้าหาอ่านเป็นภาคทฤษฎี เพื่อลองนำไปใช้ในภาคปฏิบัติต่อไป!!!


เมื่อเอ่ยถึงตำรับรักฉบับภาษาจีนแล้วจะไม่เอ่ยถึงตำรับรักของอินเดียก็คงจะไม่ได้ โดยเฉพาะตำรับรักของอินเดียนั้นก็มีชื่อเสียงไม่น้อยหน้ากันแถมบางคนว่าเป็นที่รับรู้ของคนทั่วโลกมากกว่าเสียด้วย ตำรับรักดังกล่าวมีชื่อว่า “KAMASUTRA” หรือ กามสูตร ที่เขียนโดยนักปราชญ์ที่มีชื่อว่า “VASYAYANA” (อ่านว่า วาสยายานา) เขียนไว้เกือบ 1,300 ปีที่แล้ว เป็นภาษาสันสกฤตและได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษฉบับบริวิทกาเลอร์ เป็นตำรับรักที่พิมพ์แล้วพิมพ์เล่ามาตลอด

ที่จริงแล้วตำรับรักฉบับอินเดียนั้น กล่าวถึงการร่วมรักที่เป็นสุขร่วมกันของชายหญิง เป็นการให้รางวัลแก่ชีวิตร่วมกันในการใช้ชีวิตคู่ เป็นศิลป์แห่งการร่วมรักในท่าทางของการร่วมรักที่จะให้ความสุขสูงสุดแก่กันและกัน เป็นตำราที่บ่งบอกการกระตุ้นปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกทางเพศที่แสดงถึงการตอบสนองทางเพศของชายและหญิงที่ได้ผลสูงสุด และเป็นศาสตร์และศิลปะของการครองรักครองเรือนที่ยั่งยืนและเป็นสุขร่วมรัก

เพราะการร่วมรักที่เกิดความสุขสมร่วมกันจนหลั่งสารแห่งความสุขออกมานั้นทำให้ชายหญิงที่ร่วมรักเกิดสายใยแห่งความผูกพันที่มิรู้ลืม ซึ่งยากนักที่จะบอกรักกันด้วยคำพูดได้ แต่ย่อมจะแน่นอนว่าเมื่อต่างฝ่ายต่างพยายามมอบความสุขให้กันและกันจนเกิดความสุขสุดยอดแล้วย่อมจะเข้าใจได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกกันว่า...รัก

ภาพที่เห็น การกระทำที่แสดงออก...ดีกว่าคำพูดเสมอ ในตำรากามสูตรโดยวาสยายานานั้น มีบริบทของ “ธรรมะ” แห่งการครองคู่อย่างมีความสุข เป็นบริบทของการเรียนรู้ผู้ชายและเข้าใจผู้หญิง เป็นการประสานจุดเด่นจุดด้อยด้วยกันจนรวมเป็นหนึ่งเดียว และเมื่อมีธรรมะแห่งการครองคู่แล้ว ก็จะต้องมี “อัฎฐะ” หรือการประกอบกิจการร่วมกันเพื่อก่อร่างสร้างครอบครัว มีการทำการงานเพื่อความเป็นปึกแผ่น มีการแบ่งหน้าที่ในการทำงาน การเก็บเงินทอง การดูแลบ้านช่องบุตรหลานให้มีความสุข

จากนั้นจึงมาถึงบริบทแห่งความหฤหรรษอัศจรรย์ร่วมรักที่เรียกว่า “กามะ” หรือ กามอันเป็นกามารมณ์แห่งความสุขสม เป็นศาสตร์และศิลป์แห่งการร่วมรักที่จะต้องเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อการร่วมรักที่จะมิรู้ลืมและหวานซึ้งตรึงตราไปชั่วชีวิต จนเป็นสายใยแห่งความรักความผูกพันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

บริบทของการร่วมรักฉบับอินเดียยังคงมีการแตกแขนงออกไปเป็นเซ็กซ์แบบตันตระ หรือ TANTRA SEX ที่เป็นศาสตร์และศิลป์ของการร่วมรักที่ให้ชายหญิงเมื่อร่างกายประสานสอดคล้องจนหลอมเป็นร่างเดียวกันแล้ว ก็จะซึมซับการถ่ายทอดพลังแห่งความรักผ่านการประสานร่างกายเข้าหากันจนแนบแน่น ปล่อยให้พลังแห่งความรักไหลวนจากร่างกายของฝ่ายหนึ่งเข้าไปยังร่างกายของอีกฝ่ายหนึ่ง

ในการนี้ปรัชญาแห่งการร่วมรักบอกว่าจุดซ่อนเร้นของฝ่ายหญิงนั้น เหมือนวิหารแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดต้องการจะผ่านเข้าไปสัมผัสกับความสวยงาม อบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก จะต้องให้ความเคารพต่อสถานที่ ด้วยปรัชญาแห่งการร่วมรักนี้จะเปิดประตูหัวใจของเธอให้เปิดออกมาด้วยความเต็มใจ และเธอจะตอบสนองการร่วมรักอย่างเต็มที่หมดหัวใจ จนเขาคนนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ชุ่มชื้น รัดรั้ง ตอบสนองด้วยการบีบรัดเป็นจังหวะจะโคนจนเขาต้องปล่อยน้ำรักของเขาออกมาอย่างยากที่จะฝืนทน

และเขากับเธอ...ก็จะสุขสมร่วมกัน!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook