ย้อนเวลากลับไปสำรวจ It Bag ในตำนาน...ไอเท็มชิ้นเด็ดที่สาวๆ แต่ละยุคต้องมี!

ย้อนเวลากลับไปสำรวจ It Bag ในตำนาน...ไอเท็มชิ้นเด็ดที่สาวๆ แต่ละยุคต้องมี!

ย้อนเวลากลับไปสำรวจ It Bag ในตำนาน...ไอเท็มชิ้นเด็ดที่สาวๆ แต่ละยุคต้องมี!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"กระเป๋า" ไอเท็มที่ได้กลายเป็นดั่งอวัยวะส่วนหนึ่งของสาวๆ ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ไม่เพียงประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น หากดีไซน์ของกระเป๋าถือในแต่ละรูปแบบยังบ่งบอกรสนิยมของผู้ถือได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญบนหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมแฟชั่นมายาวนาน หลายยุคหลายสมัย เรายังได้เห็นกระเป๋า ที่เรียกได้ว่าเป็น It Bag แห่งยุคแจ้งเกิด และกลายเป็นกระแสนิยมมากมาย ครั้งนี้โว้กจึงอยากจะขอพาทุกคนย้อนกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์โลกแฟชั่น ลองกลับไปดูกันว่าในแต่ละยุคที่ผ่านมานั้น มีกระเป๋ารุ่นใดบ้างที่ได้เฉิดฉายกลายเป็นไอเท็มสำคัญประจำยุค...

1950s

ภาพ : timeshopeภาพถ่ายของ Grace Kelly ขณะที่นำกระเป๋า Sac à Courroies มาปิดไว้ที่ครรภ์ของเธอ

 เราต่างรู้ดีว่าก่อนหน้านั้นเพียงทศวรรษ โลกใบนี้เกือบล่มสลายเพราะสงคราม โคโค่ ชาเนลยังเคยเอ่ยปากเอาไว้ว่า "ช่วงเวลาสงครามเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาที่แฟชั่นจะเติบโต" และก็เป็นเช่นนั้น หากเมื่อทุกอย่างสงบลง ในยุค 1950s นี้ก็เป็นดั่งยุคแห่งการฟื้นฟูแฟชั่นอย่างเต็มขั้น เริ่มต้นจากการส่ง Dior New Look เข้าชิงปฐมฤกษ์จนกลายเป็นบรรทัดฐานของหญิงสาวในยุคนั้นได้สำเร็จ สุภาพสตรีในยุคนี้ยุรยาตรตามท้องถนนพร้อมเสื้อผ้าที่มีดีไซน์เน้นให้เห็นสัดส่วนตรงเอวชัดเจน กระโปรงที่บาน และยาวระดับหัวเข่า จึงไม่แปลกใจที่กระเป๋าถือขนาดเล็กจะเข้ามาสมดุลซิลูแอตต์แห่งยุคนี้ ดังนั้นกติกาข้อแรกที่สุภาพสตรีในยุคนี้ต้องเรียนรู้ไม่ต่างกัน นั่นก็คือกระเป๋าถือที่เจ้าหล่อนใช้ต้องเข้าได้ดีกับทั้งหมวก รองเท้า และเครื่องประดับจำนวนมากโขที่แน่นิ่งอยู่ในตู้เสื้อผ้า และนั่นดูเหมือนจะเป็นข้อบังคับที่แม้ไม่มีใครเอาปืนมาจี้ ก็ต้องทำตาม เพราะหากแปลกแยกแม้แต่น้อย ก็คงถูกครหาว่าเชยสะบัดเป็นแน่

     ในด้านของกระเป๋า ในปี 1956 Grace Kelly ได้กลายเป็นบุคคลที่มีส่วนทำให้กระเป๋า Hermès นั้นถูกโจทก์ขานไปไกล อนึ่งเมื่อครั้งที่เธอถูกจับภาพได้ ณ ขณะที่เธอกำลังเอากระเป๋าใบโตนามว่า Sac à Courroies ขึ้นมาไว้ใกล้หน้าอก ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการเปิดเผยว่า ภาพถ่ายในตอนนั้นเป็นเพราะเธอต้องการที่จะพรางการตั้งครรภ์ของเธอต่างหาก กระนั้นภาพถ่ายนั้นก็ได้กลายเป็นตำนานติดตัวเธอ ทุกครั้งที่เราเอ่ยนามกระเป๋า Hermès ก็เป็นอันต้องเอ่ยนาม Grace Kelly ขึ้นมาเป็นคู่ขนาน (จนกระทั่งในปี 1977 กระเป๋า Sac à Courroies ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kelly ในที่สุด)

     ไม่เพียงเท่านั้น เพราะอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงการกระเป๋าถือในยุค 1950s นี้เกือบไปต่อไม่ถูก ก็คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ Gabrielle Chanel ได้ปฏิวัติวงการแฟชั่นแห่งทศวรรษด้วย The CHANEL 2.55 กระเป๋าผ้หนังที่มาพร้อมกับห่วงโซ่คล้องแขน จุดเริ่มต้นของยุค Hand Free ของเหล่าสุภาพสตรีอย่างเป็นทางการ ข้อจำกัดที่หญิงสาวต้องใช้มือถือหูกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง จนอาจกล่าวได้ว่า The CHANEL 2.55 ไม่ใช่เพียงกระเป๋าหนึ่งใบ หากคือการมาถึงของอิสรภาพที่หญิงสาวทุกคนควรได้รับด้วยเช่นกัน

1960s

 ภาพ : Getty Imagesภาพถ่ายของนักแสดงสาว Audrey Hepburn และกระเป๋าถือ Louis Vuitton ในรุ่น Speedy ที่ถูกทำให้เล็กลง

     นับเป็นทศวรรษของความรุ่งเรืองแห่งอิสรภาพทางแฟชั่นของเหล่าสุภาพสตรี กระเป๋าถือไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป หากหญิงสาวหัวขบถในสมัยนั้นได้หันมานิยมพ็อกเก็ตอันเล็กๆ ที่สามารถจะพกติดตัว หรือคาดติดดับชุดสวยที่พวกเธอสวมใส่มาด้วยได้ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับชีวิตได้อีกมาก โดยในครั้งนั้น เรายังได้เห็นแบรนด์ Paco Rabanne คลอดคอลเล็กชั่นไอเท็มสุดไอคอนิกแห่งยุคอย่าง Chainmail Purse กระเป๋าใบเล็ก เพื่อนคู่ใจของสาวๆ สายปาร์ตี้ในยุค 1960s ก่อนที่จะโด่งดังอย่างถึงที่สุด เมื่อคนดังแห่งยุคอย่าง Mary Quant , Twiggy และ Edie Sedwick ได้ครอบครองมัน

     ในขณะเดียวกันนั้นแบรนด์ระดับลักชัวรี ยังต้องหมุนตามกระแสนิยม เมื่อ Louis Vuitton ได้ลงมือสร้างสรรค์กระเป๋ารุ่น Speedy ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อความสะดวกสบาย และเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น ตามคำขอของนางเอกอันดับหนึ่งแห่งวงการฮอลิวู้ด ณ ขณะนั้น ผู้ที่ยังเป็นทั้งแฟนที่ซื่อสัตย์ต่อแบรนด์หลุยส์วิตตองตลอดมาอย่าง Audrey Hepburn นอกจากนั้นเรายังได้เห็นแบรนด์แฟชั่น Emilio Pucci สร้างผลงานภาพพิมพ์ที่ดูเพลินตาบนผืนผ้าไหมมันวาว ก่อนนำมาใช้กับกระเป๋าคลัตช์ให้กลายเป็นที่จดจำกันโดยถ้วนทั่วในที่สุด 

1970s

ภาพ : AFPภาพของสาวๆ ในงานปาร์ตี้ ที่มาพร้อมกับกระเป๋าพ็อกเก็ตขนาดเล็ก
ในช่วงที่กลุ่มเคลื่อนไหวฮิปปี้ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ "บุปผาชน" กำลังเบ่งบาน อุตสาหกรรมแฟชั่นยังต้องคล้อยตามด้วยแรงดึงแห่งกระแสที่เปลี่ยนวงการแฟชั่นไปในหลายด้าน รวมไปถึงในเรื่องของสไตล์ ที่หลายคนที่ได้กลับไปย้อนดูภาพถ่ายเก่าแต่เก๋าในยุคนั้น ยังจะได้เห็นสไตล์โบฮีเมียนโลดแล่นกันอยู่เกลื่อนถนน ลามมาจนถึงไอเท็มสำคัญอย่างกกระเป๋า ที่ในยุคนั้นยังต้องปรับให้เข้ากับกระแสโลก ดังนั้นกระเป๋าที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้นส่วนใหญ่จึงถูกทำด้วยมือ เป็นงานฝีมือ หรือที่เรียกว่างานคราฟต์ ให้เข้ากับอุดมคติหลักของเหล่าหนุ่มสาวชาวบุปผาชน อีกทั้งดีไซน์ของกระเป๋ายังต้องสามารถสะพายคาดร่างกายของหนุ่มสาวในยุคนั้นได้ตามแบบฉบับของโบฮีเมียนอย่างแท้จริง

     ในปี 1971 Mulberry คือผู้ที่เปิดประตูบานนั้น ด้วยการนำเสนอกระเป๋าหนังที่มีลักษณะนุ่ม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของงานในแบบฉบับของการเย็บปักถักร้อยในชื่อ Somerset ตอบโจทย์แฟชั่นสไตล์โบฮีเมียนในยุคนั้นได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่แบรนด์ดังสัญชาติสเปนอย่าง Loewe ยังคงห่อหุ้มจิตวิญญาณในยุคนี้อย่างต่อเนื่องด้วย Amazona ที่ใช้งานได้จริง และไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ที่ตอนนี้ตัววัสดุหนังสีเหลืองของมัน ก็ได้กลายเป็นซิกเนเจอร์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

     หากในอีกด้านหนึ่งของสไตล์ ที่ปรากฏขึ้นในตอนท้ายของทศวรรษนี้ ในช่วงปี 1977 เรายังได้เห็นกระเป๋า The Whiting and Davis Mesh มาอยู่บนตัวของสาวๆ ในตอนท้ายของยุคนี้ พร้อมสายคล้องพาดลำตตัว ที่ยังคงหลงเหลือมาจากสไตล์โบฮีเมียนเมื่อต้นยุค ดังที่หนุ่มสาวในยุคนั้นได้เห็นบนชุดจั๊มสูทของ Iame Halston เสมอๆ

 1980s

ภาพ : AFPภาพถ่ายของเจ้าหญิงไดอาน่า และกระเป๋าถือรุ่น Lady Dior อันลือเลื่อง
จะว่าเป็นยุคที่มีความคิดสร้างสรรค์สนุกที่สุดในวงการอุตสาหกรรมแฟชั่นก็คงจะไม่ผิด การปรากฏตัวของเหล่าหนุ่มสาวในยุคนี้ล้วนมาพร้อมกับสไตล์จัดเต็มเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ ความจัดจ้านในสไตล์เข้ายึดครองชีวิต และพื้นที่ทุกหัวมุมถนนของเมืองดัง ดังนั้นกระเป๋าถือที่เป็นดั่งไอเท็มคู่กายของสาวๆ ในยุคนี้ก็ยังจะต้องไหลตามความจัดเต็มของสาวๆ จนทำให้เราได้เห็นทั้งกระเป๋าลายโมโนแกรม กระเป๋าประดับกลิตเตอร์ ไปจนถึงกระเป๋าถือที่นำเสนอโลโก้ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าอะไร

     เริ่มต้นจากดีไซเนอร์ชื่อดังระดับตำนาน คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ที่ขอกรุยทางครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ชาเนล โดยการพากระเป๋ารุ่น Mademoiselle ประดับโลโก้ตัวล็อกแบบเกลียว มาแทนที่กระเป๋าถือรุ่นคลาสสิกอย่าง Classic Flap โดย Gabrielle Chanel ในอดีต ในขณะที่แบรนด์ Dior ยังได้สร้างสรรค์อีกไอเท็มชิ้นเอกแห่งยุคอย่างกระเป๋าถือที่ดูคล้ายกับทรงของกล่องลูกบาศก์ พร้อมโชว์ให้เห้นโลโก้สวยสะดุดตาในนามของ Lady Dior ที่ได้ตั้งชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติให้กับเจ้าหญิงไดอาน่า ผู้เป็นดั่งแฟนคลับตัวยงของกระเป๋าถือคอลเล็กชั่นนี้

     นอกจากนี้ ในด้านของ Fendi กับโลโก้ FF ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ เมื่อครั้งที่เขาเข้ามารับตำแหน่งสำคัญที่แบรนด์แห่งนี้ ก็ได้กลับมาทรงอิทธิพลในวงการอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกครั้งไม่แพ้ CC (จากชาเนล) และ Dior ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นอกจากนี้ในทางของ Hermès  ยังได้เนรมิตกระเป๋ารุ่น Birkin ที่ต่อมาได้กลายเป็นตำนานของวงการแฟชั่นไปในที่สุดนั้นขึ้นมาในยุคเดียวกันนี้ โดยยังได้ตั้งชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ Jane Birkin ดังที่เราต่างทราบกันเป็นอย่างดี

1990s

ภาพ : SATC Fansภาพของนักแสดงสาว Sarah Jessica Parker กำลังสะพายไหล่ด้วยกระเป๋ารุ่น Fendi Baguette
หลังจากที่วัฒนธรรมเอ็มทีวี ได้เปลี่ยนแปลงโลกแฟชั่นให้เดินเร็วขึ้นแบบก้าวต่อก้าว เทรนด์ที่เคยเปลี่ยนแปลงในทุกๆ สิบปีนั้น ยังต้องเปลี่ยนเร็วแบบปีต่อปี ดังนั้นในยุคนี้เราจึงได้เห็นเทรนด์ และสไตล์มากมายเกิดขึ้นซ้อนกันตลอดทั้งยุค หากเราก็ยังได้เห็น Fendi Baguette เฉิดฉายอย่างโดดเด่นแบบฉุดไม่อยู่ปรากฏตัวพร้อมปรากฏการณ์ที่โลกต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน

     ในปี 1997 Fendi Baguette ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ที่มีขนาดเล็ก เรียว และแปลกตาเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะแซงทางโค้งทุกดีไซน์แห่งกระเป๋าของยุคนี้ เมื่อตัวละคร Carrie Bradshaw (ที่รับบทโดย Sarah Jessica Parker) จากซีรี่ส์อันโ่ด่งดังอย่าง Sex and The City ในซีซั่นที่ 3 นั้น ถือเจ้า Fendi Bagutte นี้เข้าฉากคู่กับชุด Tutus และรองเท้า Jimmy Choos จนกระทั่งได้กลายเป็นอีกหนึ่งลุคไอคอนิกที่ถูกกล่าวขานอไปไกลในอุตสาหกรรมบันเทิงโลก... จริงอยู่ที่สาวๆ หลายคนคงครหาว่าเจ้าหล่อนจะไม่มีวันถือ Fendi Baguette ไปทำงานอย่างแน่นอน แต่เจ้าหล่อนคนเดียวกันนี้ก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในวันที่แก๊งค์เพื่อนสาวของเธอจะชวนเธอออกไปนั่งดื่มมาร์ตินีกันสักแก้ว หรือสองแก้ว แล้วเธอจะไม่หันไปหยิบ Fendi Baguette เหน็บไว้ข้างกาย แล้ววิ่งออกไปพบเพื่อนของเจ้าหล่อนในยามค่ำคืน

     อิทแบ็กแห่งยุคอย่าง Fendi Baguette ยังคงถูกจับจ้องอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ขึ้นไปอยู่ในวงแขนของนางแบบซูเปอร์โมเดลอย่าง Naomi Campbell และศิลปินตัวแม่อย่าง Madonna กระทั่งมีวลีติดตลกที่ถูกกล่าวเอาไว้ว่า "หญิงสาวในยุคนั้นเต็มใจยอมเสียเงินให้กับเจ้าบาแกตต์ มากกว่าค่าเช่าบ้าน หรืออพาร์ตเมนต์ของพวกหล่อนเสียอีก) หากคงจะเป็นจริงดังว่า เพราะเพียงไม่กี่ปีนับจากครั้งแรกที่ Fendi Baguette ปรากฏตัว ยังมีดีไซน์ที่ถูกผลิตซ้ำขึ้นมาให้ได้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จบนับร้อยรูปแบบ จนอาจนับได้ว่านี่คือกระเป๋าอีกหนึ่งรุ่นที่เข้ามาปฏิวัติรูปลักษณ์ของวงการกระเป๋าเลยก็ว่าได้

2000s

ภาพ : Evening Standardเซเลบริตี้สาว Paris Hilton กับกระเป๋า Dior Saddle Bag โดย Joun Galliano
ในยุค 2000 นี้ นับเป็นอีกช่วงปีที่กระเป๋ากลายเป็นไอเท็มที่ถูกพูดถึงมากที่สุดยุคหนึ่ง ในลิสต์รายการช็อปปิ้งของสาวๆ ในยุคนี้ยังต้องมีรายชื่อของกระเป๋าใบโปรดอยู่ด้วยเสมอ หากกระเป๋าที่เป็นหน้าเป็นตาที่สุดแห่งยุคนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น Dior Sadlle Bag ในตำนาน ที่ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามาสักกี่สมัย กระเป๋ารุ่นนี้ก็ยังถูกนำมาทำใหม่อยู่เสมอ...

     Dior Saddle bag โดยดีไซเนอร์ดังมากฝีมือแห่งยุคอย่าง John Galliano ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ นำกลับมาซึ่งการผลิต และทำซ้ำไอเท็มเดียวกันนี้แบบไม่รู้จบ เพราะมีหลายรูปแบบตั้งแต่ Dior Saddle Bag ในรูปแบบของการประดับโลโก้แบรนด์ ลายพิมพืในแบบหนังสือพิมพ์ ไปจนถึงลายพิมพ์แบบทหาร หรือ Camouflage ก็มีออกมาให้เลือกสรรกัน นอกจากนี้กระเป๋าที่เป็นดั่งอิทแบ็กแห่งยุค ยังรวมไปถึงกระเป๋าลายโมโนแกรมในเฉดสีสายรุ้ง จากการร่วมมือกันของ Louis Vuitton และ Takashi Murukami ที่หลายคนคงเห็นกันจนชินตาบนแขนของเหล่าเซเลบริตี้ และศิลปินชื่อดังตั้งแต่ Paris Hilton ไปจนถึง Beyonce นอกจากนี้ เรายังต้องขอนับรวมกระเป่า Motorcycle จาก Balenciaga ไว้ด้วย ที่ตอนแรกนั้นมันจะไม่ได้ถูกแจ้งเกิดด้วยซ้ำ (ด้วยรูปทรง และลักษณะที่นุ่มนิ่ม และดูอ่อนปวกเปียก ไม่สวยงามเฉกเช่นกกระเป๋าชนิดอื่น) หากเมื่อนางแบบระดับโลกอย่าง Kate Moss ได้พิจารณาแล้วว่า มันสามารถกลายเป็นอิทแบ็กแห่งยุคได้เหมือนกัน งานนี้ก็เลยต้องยกความดีความชอบให้กับ Kate Moss ไปเต็มๆ

     ประวัติศาสตร์แฟชั่นของกระเป๋า ยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ ปัจจุบันกระเป๋ายังคงทำหน้าที่เป็นดั่งเครื่องประดับที่มีความสำคัญ ทั้งช่วยคอมพลีตลุคสวย และแสดงรสนิยมส่วนตัวของผู้ใช้ให้โลกได้เห็น กระเป๋าหลากหลายรูปแบบในสมัยปัจจุบันถูกเลือกหยิบใช้ตามอิสรภาพของรสนิยมผู้ซื้อ อีกทั้งยังคงความสำคัญในฐานะของไอเท็มแฟชั่นหนึ่งที่สาวๆ ขาดไม่ได้อีกด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook