ที่มาของเด็กชายจุ๊ดจู๋ กับ เด็กหญิงจุ๋มจิ๋ม

ที่มาของเด็กชายจุ๊ดจู๋ กับ เด็กหญิงจุ๋มจิ๋ม

ที่มาของเด็กชายจุ๊ดจู๋ กับ เด็กหญิงจุ๋มจิ๋ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นางสาวฟักคั้นประชันน้องคลิต
สรจักร ศิริบริรักษ์




นางสาวฟักคั้นประชันน้องคลิต
ในเมืองไทย เด็กชายจุ๊ดจู๋ เดินเคียงคู่มากับ เด็กหญิงจุ๋มจิ๋ม
ส่วนอีกด้านหนึ่งของโลก มิสเตอร์ไก่โต้ง (Cock) ก็เคียงคู่มากับมิสฟักคั้น (Cunt)
คำในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียก จุ๊ดจู๋และจุ๋มจิ๋ม หรือกิจกรรมเรตเอ็กซ์ มักใช้ตัวอักษร 4 ตัว เช่น dick cock suck fuck cunt slut lick putz dork wuss
คำเหล่านี้ เรียกรวมๆ กันว่า ‘Four-Letter words’ คือคำที่มี 4 ตัวอักษร

คำตรงข้าม

คำตรงข้างของจู๋ คือ ‘จิ๋ม’
คำตรงข้ามของ cock คือ cunt อ่านว่า คั้น ฝรั่งจึงอมยิ้มเวลาคนไทยสั่งน้ำส้มคั้น
เมื่อ ‘คั้น’ ถูกนำมาใช้เรียกส่วนลับของสตรี ลูกหลานตระกูลเก่าแก่ของอังกฤษอย่างเช่น Cuntless จึงต้องขอเปลี่ยนนามสกุลกันเป็นแถว (Cuntless คันท์เลส=ไม่มีจิ๋ม) ทั้งที่ตระกูล Cuntless และ Cuntles เคยมีชื่อเสียงทั่วอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 13 เช่นเดียวกับนามสกุล clawecunte (คลอคั้น=จิ๋มกรงเล็บ) Wydecunt (ไวด์คั้น=จิ๋มกว้าง) Gropecunte (โกรปคั้น=คลำจิ๋ม)

ในอังกฤษถนนคลำจิ๋ม (โกรปคั้น) ซึ่งอยู่แถวออกซ์ฟอร์ด ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นถนนแมกพาย
ตระกูลคั้นท์ (Cunte) เคยถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์ชาติอังกฤษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1066 หรือเกือบพันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวนอร์แมนรุกรานเกาะอังกฤษ หลังจากนั้นได้เกิดตระกูลใหม่ๆ เช่น Cunteshaw และ Bellecunthe
และคำว่า ‘คั้น’ กลายเป็นคำสามัญที่มีส่วนอยู่ในชื่อสถานที่ทั่วประเทศอังกฤษ คงคล้ายกับ เนิน หรือโคก ที่เป็นชื่อหมู่บ้าน ตำบลหลายแห่งแถบอีสาน

ต่อมาเมื่อ ‘คั้น’ ถูกนำมาใช้เรียกของสงวนสตรี คั้นกลายเป็นคำต้องห้ามในสังคม ถ้านำไปใช้เรียกผู้ชายจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามเหมือนคำไทยว่า หน้าตัวเมีย’
ก็ไม่รู้ว่า การเป็นตัวเมียหรือเพศหญิง เลวร้ายตรงไหน?

พี่คั้น น้องคลิต

Clitoris ภาษาการแพทย์เรียกว่า ‘ปุ่มกระสัน’ มาจากภาษากรีก Kleitoris แปลว่าเนินเขา ภาษาไทยแบบทางการเรียกเม็ดละมุด ส่วนภาษาไทยแท้แบบพ่อขุนราม ขอละไว้ดีกว่า

น้องคลิตเป็นอวัยวะชิ้นเล็กๆ ที่มีเส้นประสาทหล่อเลี้ยงมากมาย ทำให้ไวต่อการสัมผัส แม้จะมีผิวหนังหุ้มอยู่ โผล่พ้นร่างกายเพียงเล็กน้อย แต่เหมือนภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่จมอยู่ในเนื้อมีมากกว่าหลายเท่า
ลักษณะโครงสร้างของน้องคลิตคล้ายอวัยวะเพศชายย่อส่วนแทบทุกประการ และยังมีคุณสมบัติคล้ายกันคือ พองตัวเด้งดึ๋งได้

วงการแพทย์ประสบปัญหาในการศึกษากายวิภาคของน้องคลิต เพราะหาอาสาสมัครไม่ได้ ความรู้ความเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของน้องคลิตอย่างสมบูรณ์เพิ่งได้รับความสำเร็จไม่นานนัก เมื่อเทียบกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

นักกายวิภาคผู้เชี่ยวชาญด้านน้องคลิต แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า ตัวตนของน้องคลิตจริงๆ แล้วเป็นเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำ มีหลอดเลือดและเส้นประสาทมากมาย ส่วนปลายหรือหัวของน้องคลิตแพลมออกมาพอให้เห็นหน่อยเดียว ส่วนตัวของน้องคลิตฝังลึกอยู่ใต้ผิวหนัง ลักษณะเป็นแท่งยาวประมาณ 3 นิ้ว แตกออกเป็นสองขา แผ่อยู่ใต้น้องจุ๋มจิ๋ม ขณะมีกิจกรรมเข้าจังหวะ ร่างกายจะสูบฉีดเลือดไปคั่งบริเวณน้องคลิตมากจนเต่งตึงชูชัน และเนื่องจากการที่เธอไวต่อความรู้สึก การถูกสัมผัสโดยตรง หรือการสั่นสะเทือนจากมังกรเจ้าโลกที่บุกรุกจนแผ่นดินสะท้าน ถ้ำบาดาลสะเทือน ก็ทำให้เกิดความหฤหรรษ์ได้อย่างเอกอุ

น้องคลิตจัดได้ว่าเป็นอวัยวะของมนุษย์ชิ้นเดียวเท่านั้นที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความสุขทางเพศสู่สมอง โดยไม่ทำมาหากินอย่างอื่นเลย สบายจริงๆ

คุณค่าของน้องคลิต

จากการศึกษาพฤติกรรมทางเพศในยุคหลังๆ ผู้หญิงกล้าพูดความจริงมากขึ้น ผลการสัมภาษณ์พฤติกรรมทางเพศทำให้นักวิจัยได้รู้ว่าผู้หญิงจำนวนกว่าครึ่ง พอใจกับการสร้างความสุขด้วยตัวเองมากกว่าให้สามีทำให้ เพราะสามีเกาไม่ค่อยถูกที่คัน การใช้นิ้วหรือเครื่องสั่นสะเทือนได้อารมณ์กว่าเยอะ

และผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงร้อยละ 84 สำเร็จโดยการกระตุ้นที่น้องคลิตกับพี่คั้นสลับกันไปมา

ผู้หญิงร้อยละ 20 สำเร็จโดยการสอดอะไรก็ได้เข้าไปข้างใน
ผู้หญิงร้อยละ 11 สำเร็จโดยการถูไถกับวัตถุ
ผู้หญิงร้อยละ 11 สำเร็จโดยการกระตุ้นหน้าอก
ผู้หญิงร้อยละ 10 สำเร็จโดยการบิดต้นขา แค่นั้นก็เพียงพอ (ผู้หญิงที่ชอบนั่งไขว่ห้างจึงถูกจับตามอง)
ผู้หญิงร้อยละ 5 สำเร็จโดยการขมิบกล้ามเนื้อ
ผู้หญิงร้อยละ 2 สำเร็จโดยการจินตนาการเพียงอย่างเดียว


แต่ไหนแต่ไรมา ทุกอย่างเกี่ยวกับเพศล้วนเป็นความลับ ของสงวนก็เป็นของลับ ผู้หญิงรู้ดีว่าน้องคลิตมีความสำคัญเพียงใด แต่ก็เก็บงำไว้อย่างเร้นลับในซอกลับ ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าน้องคลิตมีคุณค่าเพียงใด รู้อยู่ว่าคัน แต่ไม่รู้จะเกาให้ตรงไหน ทำไปแบบเดาส่ง

จนกระทั่งนักวิจัยทางเพศที่มีชื่อเสียงคนสำคัญของโลก คือ อัลเฟรด คินซีย์ กับ มาสเตอร์และจอห์นสัน ได้นำเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างน้องคลิตกับความสุขสุดยอดของผู้หญิงมาเปิดเผย ผู้ชายทั่วโลกจึงร้องอ๋อ...มิน่า...มันอย่างนี้นี่เอง!
อันที่จริง วงการแพทย์กรีกเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วก็เคยค้นพบและบันทึกเรื่องของน้องคลิตไว้ว่า เป็นส่วนที่ไวต่อการสัมผัสมากที่สุด รูปร่างย่อส่วนมาจากเจ้าโลกของผู้ชาย ฮิปโปเครทิส บิดาแห่งวงการแพทย์ตะวันตกก็บันทึกความสำคัญของน้องคลิตไว้ และยังกล่าวว่าผู้หญิงก็หลั่งเหมือนผู้ชาย ซึ่งยังเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาจนทุกวันนี้ แพทย์รุ่นโบราณเคยสอนไว้ว่า การตั้งครรภ์จะมีได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายชายและฝ่ายหญิงหลั่งพร้อมๆ กัน และของเหลวทั้งสองฝ่ายเข้าผสมรวมกัน ทารกจึงถือกำเนิดในครรภ์

แต่หลังจากแพทย์กรีกค้นพบน้องคลิต ความรู้ตรงนี้กลับหายสาบสูญไป ตำรากามสูตรของชาติต่างๆ หันมาให้ความสำคัญน้องคั้น หรือน้องจุ๋มจิ๋มว่าเป็นบ่อแห่งความสุข ความสนใจเรื่องน้องคลิตค่อยๆ ลดลงและกลายเป็นเรื่องลับอีกครั้ง นานเกือบสองพันปี น้องคลิตจึงถูกคินซีย์ นำมาเปิดโปงอีกครั้ง ทำให้ผู้หญิงรุ่นใหม่มีความสุขมากกว่า และสุดยอดกว่าหญิงในอดีต เพราะฝ่ายชายเริ่มเกาถูกที่คั้น เอ๊ย เกาถูกที่คัน

กามสูตร

ก่อนที่ความสำคัญของน้องคลิตจะได้รับการยกย่องเชิดชู ชายรุ่นเก่าจะให้ความสนใจไปที่น้องคั้นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นกามสูตรของอินเดีย หรือคู่มือเพื่อการร่วมรัก ‘สวนป่าหอมหวน’ ของชาวมุสลิม

‘สวนป่าหอมหวน’ (the perfumed Garden) แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดย ชีค อูมาร์ อิบ โมฮัมมัด อัลนาฟซาวี ผู้ซึ่งชื่นชอบสรีระของน้องคั้นทุกรูปแบบ ทั้งทรงและสี คู่มือของเขาเป็นทั้งความรู้ทางเพศ ปรัชญา กายวิภาคและวิทยาศาสตร์ เขียนด้วยภาษาสละสลวยดังเช่นบทกวี ถือกันว่าเป็นหนังสือทางเพศที่ไม่อนาจาร และมีวางโชว์ติดบ้านได้โดยไม่อายใคร

ในคู่มือดังกล่าว ชีคอูมาร์ผู้เขียนได้ศึกษารูปทรง สีสัน และคุณสมบัติของน้องคั้นอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ส่วนตัว และได้จำแนกไว้ว่า สตรีทั่วโลกมีน้องคั้นที่แตกต่างกันถึง 34 ชนิด ยกตัวอย่างเช่น

- ร่องลึก เมื่อยามหฤหรรษ์ถึงขีดสุดจะมีกลีบสีแดงสดผุดขึ้นจากร่องหลืบ แลดูงดงามดั่งกลีบกุหลาบ
- พุ่มพองคะนองศึก มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อมังกรชะโงกเข้าไปใกล้ๆ หรือเอาหัวถูไถเพียงเล็กน้อย น้องคั้นจะเฟื่องฟู บวมพองขึ้นมาทันตาเห็น และยังเผยอปากยวนยั่ว อ้าๆ หุบๆ ได้ดั่งแม่ม้าลำพอง
- มโหฬาร สตรีที่สมบูรณ์ด้วยเนื้อและไขมัน จะมีน้องคั้นชนิดอลังการงานสร้าง ยามนั่งไขว่ห้าง จะดูเหมือนหัวลูกวัวโผล่จากสวนป่ารื่นรมย์ ยามนอนหงายจะเหมือนไร่ข้าวโพดฝักยักษ์ปลูกที่เนินหญ้า แม้ยามเดิน ภูษาอาภรณ์ยังถูกดุนดันเป็นระลอกคลื่นทุกย่างก้าว
- สงัดเงียบเฉียบขาด ไร้เสียงกวนใจในทุกท่วงทำนอง ไม่เคยบ่นร้องแม้ถูกรังแกวันละร้อยครั้ง เหมือนดั่งห่อหุ้มด้วยวัสดุเก็บเสียง ชาวบ้านข้างเคียงไม่ระแคะระคาย
- โคกสูงเนิน ตั้งตระหง่านดั่งขุนเขา แข็งแกร่งทนทาน แลดูคล้ายโหนกอูฐที่ผุดจากเนื้อ
ฯลฯ

นี่คือความช่างสังเกตของคนโบราณ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook