เซ็กซ์กับสถิติ ตอนจบ

เซ็กซ์กับสถิติ ตอนจบ

เซ็กซ์กับสถิติ ตอนจบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
อ่านตอนแรกได้ที่นี้



ผู้ชายไทยในยุคเศรษฐกิจขาลงมีกิจกรรมทางเพศอย่างกระฉับกระเฉงอยู่กี่เปอร์เซ็นต์...คำตอบสุดท้ายสำหรับชายไทยก็คือ 58 เปอร์เซ็นต์...ครองอันดับบ๊วยสุดในภูมิภาคนี้ ใครไม่เชื่อจะเถียงในใจหรือจะเถียงออกมาอย่างไร ข้อมูลก็ยังคงเป็นข้อมูลที่แสดงออกมาในระดับนานาชาติล่าสุดที่สำรวจ

และเป็นข้อมูลที่แสดงความตกต่ำทางสถิติที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อน เพราะไม่ว่าจะมีการสำรวจครั้งใด ไทยเราก็มักจะอยู่กลางๆ เสมอๆ เรียกว่าเป็นพวกเดินสายกลาง ยกเว้นช่องที่มีปัญหาเศรษฐกิจขาลงทั่วโลกในครั้งนี้ สงสัยว่า ปีนี้คงจะเป็นปี...ขาลง ของผู้ชายไทยด้วยเช่นกัน!!

ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมลงความเห็นอย่างไม่เป็นทางการว่าการที่หนุ่มใหญ่ชาวฟิลิปปินส์แซงนำหน้าเพื่อนบ้านในการมีกิจกรรมกทางเพศอย่างกระฉับกระเฉง น่าจะเป็นเพราะผู้นำเป็นสุภาพสตรีสาวสวยนามกลอเรีย อาโรโย่ เลยทำให้หนุ่มใหญ่ทั้งหลายกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่าไปตามๆ กัน



ขออนุญาตไม่อภิปรายหรือให้ข้อคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไทยๆ ของเราก็แล้วกัน...มันอันตราย และเมื่อข้อมูลศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดเกี่ยวกับความถี่ในการประกอบกิจกรรมทางเพศอันสุนทรีย์ของผู้ชายในวัยต่างๆ กันแล้ว

พบว่าผู้ชายชาวอเมริกันนั้นร่วมรักกันสัปดาห์ละ 5.8 ครั้งโดยเฉลี่ย ในขณะที่ชายชาวเอเชียโดยเฉลี่ยมีกิจกรรมอันสุนทรีย์เพียง 3.7 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น

ส่วนข้อมูลรายละเอียดของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วพบว่าค่าเฉลี่ยของการร่วมรักของชายในประเทศต่างๆ มีดังนี้คือ ผู้ชายชาวฟิลิปปินส์ยังคงมีสถิติร่วมรักถี่ที่สุด 4.8 ครั้งต่อสัปดาห์ ฮ่องกง 3.8 ครั้งค่อสัปดาห์ เป็นสองประเทศที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ชายชาวเอเชียทั่วๆ ไป

สำหรับข้อมูลจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกิจกรรมร่วมรักต่อสัปดาห์ลดหลั่นลงไปดังนี้คือ ไทย 3.4 ครั้งต่อสัปดาห์ มาเลเซีย 3.1 ครั้งต่อสัปดาห์ และ สิงคโปร์เป็นอันดับสุดท้าย 2.8 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ชายไทยจึงยังพอที่จะภูมิใจได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีแต่คนที่มียังคงร่วมรักกันบ่อยมากกว่า มาเลเซีย และ สิงคโปร์นะ



เมื่อตั้งปุจฉาวิสัชนาแล้วว่าการเกิดภาวะการลดลงของการมีกิจกรรมทางเพศของผู้ชายไทยในปัจจุบันที่น้อยดังกล่าวน่าจะเป็นจาก...การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิมมากมาย

ผู้ชายในปัจจุบันนั้นโดยปกติก็เครียดได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ย่อมทำให้ปรับตัวได้ยากกับการเปลี่ยนแปลงและหลายต่อหลายคนไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงจนทำให้เกิดความเครียด

และก็รู้ๆ ว่าผู้ชายในยุคนี้เครียดง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเครียดจากการทำงานหนักเกินกำลัง หรือความเครียดทางจิตใจจากสถานการณ์ต่างๆ ที่รุมเร้ารอบตัว



ผลของความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความทุกข์ออกมา และเจ้าสารแห่งความทุกข์ที่เรียกว่า “แอดรีนาริน (Adrenalin)” นี่แหละที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง นอกจากนี้เมื่อเกิดความเครียดก็จะนอนไม่หลับ คิดมาก กรดในกระเพาะอาหารก็ออกมามากจนกัดกร่อนกระเพาะอาหารเป็นแผล

การนอนไม่หลับยังมีผลทำให้การหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานของร่างกายมีปริมาณน้อยลงหรือเกิดความไม่สมดุลของการหลั่งฮอร์โมนขึ้น โดยเฉพาะการหลั่งฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตจะลดลงทำให้แก่เร็วขึ้น อวัยวะต่างๆ ก็เสื่อมเร็วขึ้น

แถมฮอร์โมนเพศชายก็ลดลงด้วย ผลจากการลดฮอร์โมนเพศชายก็ทำให้หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น ทำอะไรกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม อ่อนเพลียง่ายโดยไม่มีเหตุผล โมโหฉุนเฉียว ไม่มีอารมณ์เพศ มองอะไรก็ไม่สบอารมณ์โดยเฉพาะคนใกล้ตัว ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้ไม่อยากที่จะมีกิจกรรมอันเป็นสุนทรีย์ที่มนุษย์ส่วนใหญ่พึงกระทำในกรณีที่มีคู่เป็นตัวเป็นตน




จริงอยู่...อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย ไม่ตายเพราะอดเสน่หา??? การอดทนอดกลั้นที่จะไม่มีกิจกรรมทางเพศนั้นดูแล้วเสมือนกับว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีงามเป็นความสูงส่งของคุณธรรมและจริยธรรม เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าการอดกลั้นในกามเป็นสุดยอดของความอดกลั้น.... แต่นั่นเป็นเป็นสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนมาจากคนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดแบบนั้นซึ่งอาจะฝืนธรรมชาติไปบ้าง

ในขณะที่ข้อเท็จจริงตามธรรมชาตินั้นการอดทนอดกลั้นในกามของผู้หญิงไม่น่าจะมีผลต่อร่างกายมากมายเท่าใด แต่ของผู้ชายนั้นตรงกันข้าม ผู้ชายถูกธรรมชาติสร้างมาเพื่อการเจริญเผ่าพันธุ์ เพื่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติ กระบวนการผลิตตัวอสุจิจึงดำเนินอยู่ตลอดเวลา และมีความจำเป็นที่จะต้องถ่ายเทตัวอสุจิที่ได้รับการผลิตออกไปเป็นระยะๆ จะได้ไม่เกิดความคั่งค้างอยู่ภายในต่อมเก็บน้ำอสุจิ

ธรรมชาติจัดการเรื่องนี้โดยทำให้เกิดการ “ฝันเปียก” ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติในการที่จะกำจัดเอาน้ำอสุจิที่มีตัวอสุจิส่วนเกินกำลังเก็บออกไป แต่บางครั้งก็ไม่พอ

และนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ออกมายืนยันผลการศึกษาวิจัยว่า ผู้ชายที่ได้ทำการหลั่งน้ำอสุจิออกไปเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนั้นมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากน้อยกว่าผู้ชายที่ไม่ได้หลั่งน้ำอสุจิในความถี่ดังกล่าว

ไม่ว่าจะหลั่งด้วยการสุขสมด้วยตนเอง หรือมีเซ็กซ์ในรูปแบบต่างๆ อะไรก็ได้ ขอให้มีการหลั่งน้ำอสุจิที่คั่งค้างออกไปเท่านั้นก็พอ

สำหรับผู้ชายไทยที่ยังคงมีกิจกรรมทางเพศอย่างสม่ำเสมอนั้นไม่น่ากลัวเพราะจากสถิติ 3.4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็เป็นอัตราที่ได้มาตรฐานแล้ว แต่สำหรับชายไทยที่ไม่ได้มีโอกาสดังกล่าวเพราะไม่มีใครร่วมรักด้วย หรือ...ถ้าอยู่เป็นโสด...คงจะต้องสุขสมด้วยจนเองบ้าง จำไว้ว่าในที่สุดแล้ว...ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอ สถิติเซ็กซ์...เขาว่าไว้แบบนั้น!!

The sex file
โดย นพ. พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook