พ่อแม่ต้องใส่ใจ! ปัญหาอันตรายของแสงสีน้ำเงินที่ส่งผลต่อสุขภาพตาของเด็กยุคดิจิทัล

พ่อแม่ต้องใส่ใจ! ปัญหาอันตรายของแสงสีน้ำเงินที่ส่งผลต่อสุขภาพตาของเด็กยุคดิจิทัล

พ่อแม่ต้องใส่ใจ! ปัญหาอันตรายของแสงสีน้ำเงินที่ส่งผลต่อสุขภาพตาของเด็กยุคดิจิทัล
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) มีการแพร่ระบาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลประกาศเลื่อนการเปิดเทอมยาวออกไป ด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนนักศึกษาที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว จึงทำให้สถานศึกษามีการปรับการเรียนการสอนเป็นในรูปแบบของการเรียนทางออนไลน์ ทำให้เด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัลมากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตา เพราะ แสงสีน้ำเงิน (Blue light) จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กๆ ทั้งสิ้น และการเล่นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานๆ จะนำมาซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อเด็ก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ภัยที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล ที่ส่งผลต่อสายตาเด็กที่พ่อแม่อาจมองข้าม ประกอบด้วย ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) เกิดจากการจ้องจอมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ ในตาหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการตาล้า จึงเป็นที่มาของการมองเห็นที่พร่ามัวชั่วคราว โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) โดยแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัล จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทตา หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ โรคสายตาสั้นมาก (pathological myopia) การเพ่งอยู่หน้าจอเป็นระยะเวลานานกว่า 2.5 ช.ม ต่อวัน โดยเฉพาะในระยะน้อยกว่า 20 ซ.ม นานกว่า 45 นาที เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้เร็วและมากขึ้นในเด็ก

ไม่เพียงภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติแต่ยัง เสียบุคลิกภาพ เพราะต้องหยีตาตลอด เมื่อเด็กมองไม่ชัด ซึ่งภาวะสายตาสั้นทำให้จำเป็นต้องหยีตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในระยะไกลตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อวิสัยทัศน์และบุคลิกภาพ เพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้สายตาของลูกเสียก่อนวัยอันควร เอสซีลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาชั้นนำของโลก มีข้อแนะนำดีๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากกัน

·         เลือกใช้แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน

การเลือกใช้แว่นตาที่มีเทคโนโลยีกรองแสงสีน้ำเงิน จึงเป็นก้าวแรกในการถนอมดวงตาของเด็ก และลดความเสี่ยงจากโอกาสการเกิดปัญหาทางสายตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต เลนส์เอสซีลอร์ Blue UV Capture นวัตกรรมกรองแสงสีน้ำเงินชนิดอันตรายในเนื้อเลนส์แต่ปล่อยช่วงแสงที่มีประโยชน์ผ่านเข้ามา เลนส์ Blue UV Capture สามารถปกป้องดวงตามากกว่าเลนส์ใสทั่วไป 3 เท่า รวมถึงป้องกันรังสียูวีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์มากถึง 35 เท่า เลนส์แว่นตาแม้ใช้เพียงปกป้องดวงตาโดยไม่มีค่าสายตาเพื่อแก้ไขการมองเห็น ก็ควรเลือกเลนส์คุณภาพเพื่อถนอมดวงตาของลูกน้อยในระยะยาว


·         ใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมและปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอเหมาะ

พ่อแม่ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า 19 นิ้ว และเป็นจอที่กันแสงสะท้อน เพราะถ้ามีแสงสะท้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และที่สำคัญควรปรับสภาพแวดล้อม แสงสว่างโดยรอบให้พอดี เพื่อลดความสว่างของหน้าจอไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป และควรจัดแสงจากภายนอกให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้แยงตาโดยตรงเพราะจะทำให้ตาล้ามากขึ้น


·         กำหนดระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ

ระยะห่างที่พอเหมาะสำหรับอุปกรณ์ดิจิทัลจะทำให้ลูกของคุณไม่ต้องใช้กำลังโฟกัสของตามากเกินไปจนเกิดอาการล้าของตาได้ หากใช้แทบเล็ต หรือหน้าจอมือถือควรห่างประมาณ 1 ฟุต ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะควรห่างประมาณ 2 ฟุต ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจัดระยะห่างให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพสายตาที่ดีสำหรับลูกๆ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองด้วย


·         ปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอดิจิทัล ไม่ให้มีขนาดเล็กจนเกินไป

ขนาดตัวอักษรที่ทำให้อ่านได้สบายตาในเวลานานๆ จะต้องมีขนาดอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้ในระยะนั้น


·         พักสายตาด้วยเทคนิค 20-20-20

พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักพักสาตา ด้วยเทคนิค 20-20-20 คือทุก 20 นาทีในการจ้องหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ควรพักสายตา 20 วินาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เพื่อช่วยให้ดวงตามีการเปลี่ยนระยะโฟกัสและผ่อนคลาย ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจให้เด็กๆ ได้พักจากหน้าจอลุกยืดเส้นยืดสายด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปพร้อมกัน

นอกเหนือจากการดูแลปกป้องดวงตาของเด็กๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะการมองเห็นคือสิ่งสำคัญ เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจดวงตา เพราะโรคทางตาหลายโรคที่จะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจสายเกินกว่าจะรักษาให้เป็นปกติได้

สำหรับข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลสุขภาพดวงตา หรือรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ เอสซีลอร์ www.essilor.co.th และ https://www.facebook.com/EssilorThailand/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook