′คอฟฟี่ พัพพี่′ แหล่งแฮงเอาต์คุณตูบที่รัก

′คอฟฟี่ พัพพี่′ แหล่งแฮงเอาต์คุณตูบที่รัก

′คอฟฟี่ พัพพี่′ แหล่งแฮงเอาต์คุณตูบที่รัก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย ศิวพร อ่องศรี

ชีวิตคนเมือง นับวันยิ่งมีแต่ความสับสนวุ่นวาย ไม่อยากจะคิดถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักที่เจ้าของกระเตงไปตามที่ต่างๆ ไม่รู้ว่ามันจะเครียดกันแค่ไหนโดยเฉพาะ "สุนัข" ที่ดูเหมือนเป็น "ส่วนเกิน" ยามที่เจ้าของอยากกินอาหารในร้านชิคๆ  มันจะกลายเป็น "หมาหงอย" ทันทีเมื่อมีป้าย "ห้ามสุนัขเข้า" ติดอยู่หน้าห้างร้านต่างๆ ส่วนเจ้าของก็เศร้าไม่แพ้กัน

กระทั่งมีสถานที่แห่งหนึ่ง อนุญาตให้สุนัขเข้าได้โดยไม่ต้องกังวลว่าคนรอบข้างจะยี้  นั่นคือ "ร้านอาหารสำหรับสุนัข" ที่อนุญาตให้คนเข้าได้

หนึ่งในนั้น คือ "คอฟฟี่ พัพพี่" (Coffee Puppy) สถานที่แฮงเอาต์ของเจ้าตูบย่านถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งดัดแปลงจากอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา ตกแต่งด้วยสีสันสดใส ดึงดูดให้คนรักสุนัขพาลูกรักมาพบปะเพื่อนหลากหลายสายพันธุ์ "บ๊อก บ๊อก" เสียงของ "คุณเม้ง" พนักงานต้อนรับหนุ่มหล่อพันธุ์ปอมเมอเรเนียนตัวอ้วนกลมกล่าวต้อนรับ มีเพลงแจ๊ซยุค 60-70 เปิดเป็นแบ๊กกราวด์ ช่วยสร้างบรรยากาศความผ่อนคลายให้น้องหมาซึ่งเป็นแขกของร้าน

หลังจากกล่าวต้อนรับ คุณเม้งรีบทำหน้าที่ต่อ วิ่งหน้าตั้งกระดิกหางมาดมแขก 4 ขาผู้มาเยือน แล้วเอาจมูกชนกันตามประสาสุนัขเป็นอันเสร็จพิธี ขณะที่แขกของร้านเองก็วิ่งวุ่นดีใจ เพราะไม่เคยถูกต้อนรับแบบแนบแน่นเช่นนั้นมาก่อน หลังจากนั้นหมาน้อยแสนรักก็ไปทักทายเพื่อนตัวอื่นๆ ในร้านอย่างสบายอารมณ์

เสียงเนื้อย่างดังอยู่ไม่ไกล แต่กลิ่นที่เตะจมูกอยู่นี่สิ กระตุ้นต่อมน้ำลายดีแท้

หันซ้ายหัวขวาก็เห็นที่มาของกลิ่นหอมฉุย โดยมี นันทนา สุกิจใจ เชฟของร้านคอฟฟี่ พัพพี่ ซึ่งกำลังทำเบอร์เกอร์เนื้อและข้าวผัดเนื้อย่างที่ส่งกลิ่นอวลไปทั่วร้าน

"อร่อยจัง" ทั้งกลิ่นและรสชาติต่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใส่เครื่องปรุงอะไรให้ยุ่งยาก ระหว่างลิ้มรสเบอร์เกอร์อย่างเพลิดเพลิน

นันทนา บอกว่า "อันนี้เมนูของสุนัข ไม่ใช่ของคน" จะคายทิ้งก็ใช่ที่ เพราะรสชาติและกลิ่นไม่เหมือนอาหารที่เคยซื้อหามาให้น้องหมากิน

หลังชิมอาหารสุนัขพอหอมปากหอมคอ จึงได้โอกาสจับเข่าคุยกับ ธนาสุทธิ์ วุฒิวิชัย ถึงที่มาของร้านซึ่งเขาเป็นเจ้าของ


ธนาสุทธิ์ วุฒิวิชัย (ขวา) และนันทนา สุกิจใจ กับคุณเม้ง (ซ้าย) กับเชฟปรุงอาหารคนชาวอังกฤษ

"ร้านอาหารด็อกคาเฟ่ ซึ่งเห็นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ช่วยจุดประกายว่าในไทยยังไม่มีร้านอาหารที่อนุญาตให้สุนัขเข้าได้

"ปัจจุบันคนรักสุนัขและเลี้ยงสุนัขไม่มีพื้นที่มากพอ เวลาไปกินข้าวหรือเข้าสังคมกับเพื่อนๆ ก็ไม่มีพื้นที่รองรับสุนัข จึงเปิดร้านนี้ขึ้นเพื่อเป็นร้านอาหารและศูนย์กลาง ให้คนและสุนัขได้มีพื้นที่ร่วมกัน ให้สุนัขได้เจอเพื่อนและมีความสุข มีจุดยืนชัดเจนว่าเป็นร้านอาหารสำหรับสุนัขที่อนุญาตให้คนเข้าได้" ธนาสุทธิ์เล่าถึงที่มาท่ามกลางสุนัขที่วิ่งเล่นอยู่รอบร้าน

ธนาสุทธิ์บอกอีกว่า ช่วงแรกที่เปิดร้านแทบไม่มีลูกค้าเพราะส่วนใหญ่กังวลเรื่องความสะอาด จากนั้นจึงเปลี่ยนการบริหารและบริการใหม่ จุดเด่นของร้านคือ ต้อนรับสุนัขทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าพันธุ์เล็กหรือใหญ่สามารถใช้บริการได้อย่างเท่าเทียม

"ความสะอาดเป็นหัวใจสำคัญของร้าน เพราะสุนัขจะตื่นเต้นเมื่อเจอสิ่งแปลกใหม่ มักขับถ่ายของเสียออกมาซึ่งพนักงานของร้านจะทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว ทุกชั่วโมงจะทำความสะอาดร้านด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ส่วนการปรุงอาหารมีการแยกระหว่างครัวและคนปรุงอาหารของคนและสุนัขอย่างชัดเจน" เจ้าของร้านคอฟฟี่ พัพพี่ กล่าวอย่างอารมณ์ดี

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความถูกใจให้ทั้งคนทั้งสุนัข คือ อาหารผู้รังสรรค์ความสุขด้วยความอร่อยอย่าง นันทนา สุกิจใจ เชฟของร้าน บอกว่า ต้องใส่ใจต่ออาหารที่สุนัขกินเข้าไปซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการเลี้ยงสุนัข เพราะอาหารส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพไม่ต่างจากมนุษย์

"การปรุงอาหารให้สุนัข เน้นเรื่องความสะอาดและคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลัก และตกแต่งจานสวยงามไม่ต่างจากที่เสิร์ฟให้มนุษย์ โดยใช้ของสดเป็นหลักเพราะสุนัขชอบ" นันทนาเล่า และว่า ในส่วนของรายการอาหารนั้น ส่วนใหญ่เหมือนของคน เพียงแต่ควบคุมปริมาณ คุณค่าอาหาร และรสชาติ ให้เหมาะสมกับสุนัขแต่ละสายพันธุ์ ไม่ใช้น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ๊ว หรือซอสใดๆ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพสุนัขอย่างแท้จริง

"ความยากของการทำอาหารสุนัขคือ แต่ละตัว แต่ละสายพันธุ์มีน้ำหนักไม่เท่ากัน เช่น ปอมเมอเรเนียน เป็นสายพันธุ์ยุโรป อาหารจึงต้องเป็นข้าวจากยุโรปจริงๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ซึ่งหายากในไทยแต่สามารถใช้ข้าวกล้องแทนได้

"ส่วนเนื้อสัตว์จะใช้เนื้อไก่ส่วนอก เพราะไขมันน้อย ผักต้องมีความหวานในตัวเอง เช่น แครอต บร็อกโคลี ซึ่งไม่ควรให้กินเยอะ ควรให้ได้สัดส่วนกับน้ำหนักของสุนัข ทุกอย่างต้องสด ล้างให้สะอาด ผักต้องต้มให้สุก แต่บางสายพันธุ์สามารถกินผักดิบๆ ได้ เช่น สายพันธุ์ใหญ่" นันทนาอธิบาย

ใช่ว่าทั้งธนาสุทธิ์และนันทนาหาความสุขจากกำไรที่ได้ เพราะความสุขที่จริงของคู่หูคู่นี้ คือ การได้อยู่ท่ามกลางสุนัขซึ่งทั้งสองเปรียบเสมือนเพื่อนรักตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งยังได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่แวะเวียนมาในแต่ละวัน

นอกจากมนุษย์จะมีเพื่อนเพิ่มขึ้น สุนัขแสนรักยังมีความสุขจากการมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก

เราหาความสุขในสังคมเมืองยากขึ้นทุกวัน เวลาที่เราเข้ามา ถ้าเป็นคนจะมีอาการเคอะเขิน แต่เมื่อไหร่ที่ลูกค้าเป็นสุนัขซึ่งมีเจ้าของพามา ไม่ว่าเจ้าของจะรู้จักกันหรือไม่ก็ตาม ต่างคนต่างส่งยิ้มให้กัน และใช้เวลาด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

หาความสุขให้ตัวเองมาพอแล้ว ลองหาความสุขให้เจ้าตูบที่รักบ้างสักวันจะดีไหม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook