เปิด 10 รองเท้าสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก

เปิด 10 รองเท้าสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก

เปิด 10 รองเท้าสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากคุณคิดว่ารองเท้าส้นสูงคู่สักหมื่นของบรรดาแบรนด์ชั้นนำนั้นแพงแล้ว โปรดคิดใหม่ได้เลย เพราะตอนนี้เทรนด์ของสะสมเกรงกำไร ที่มาแรงไม่แพ้นาฬิกาเรือนหรูก็คือ ‘รองเท้าสนีกเกอร์’ แต่ใช่ว่าทุกคู่สามารถซื้อแล้วราคาพุ่งกระฉูดได้ เพราะถ้าจะขึ้นแท่นเป็นที่ต้องการในท้องตลาดได้ จะต้องประกอบไปด้วยเรื่องราวสุดลึกซึ้ง อาทิ ใช้ในการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญ หรือผลิตขึ้นสำหรับตัวละครหลักจากภาพยนตร์ดัง และแม้ว่ารองเท้าเหล่านี้จะไม่สามารถสวมใส่เดินเฉิดฉายได้ดั่งคู่อื่นๆ แต่รู้ไว้เป็นเกล็ดข้อมูลก็ไม่เสียหาย เผื่อบางทีคุณอาจจะเบื่อ Bitcoin และลองหันมาลงทุนกับสนีกเกอร์แทน โดยจะมีคู่ไหนและราคาเท่าไหร่ เราได้ลิสต์มาไว้ให้แล้ว


Air Jordan 1 “Michael Jordan’s Game-Worn”Air Jordan 1 “Michael Jordan’s Game-Worn”
Air Jordan 1 “Michael Jordan’s Game-Worn” ถูกประมูลด้วยราคา $560,000 (ประมาณ 17.4 ล้านบาท)


เปิดลิสต์กันด้วยรองเท้าสุดไอคอนิกอย่าง Nike Air Jordan 1 ที่เพิ่งทำลายสถิติสนีกเกอร์ที่แพงที่สุดบนโลกไปเมื่อปีที่ผ่านมา (หากไม่นับ Air Jordan ที่ผลิตจากทองคำ)  โดยรองเท้าคู่นี้ เป็นรองเท้าที่ Nike ผลิตขึ้นให้  Micheal Jordan เพื่อใส่ลงสนามในนามของทีม Chicago Bulls ปี 1985 กับสี OG (Original Colorway) ขาวแดงในตำนาน นอกจากนั้นยังมีลายเซ็น MJ ประทับอยู่บนรองเท้า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้รองเท้าคู่นี้ราคาพุ่งสูงอย่างเหลือเชื่อ นั้นคาดการณ์ว่ามาจากสารคดีชีวประวัติเรื่อง The Last Dance  ของค่าย Netflix ที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อะไรที่เกี่ยวกับ MJ ก็มีราคาขึ้นหมด 


Nike Waffle Racing FlatNike Waffle Racing Flat
Nike Waffle Racing Flat "Moon Shoe” ถูกประมูลด้วยราคา $437,500 (ประมาณ 13.6 ล้านบาท)

ตอนแรกคู่นี้ได้ประมาณการณ์ไว้ว่าจะถูกประมูลด้วยราคา  $110,000-$160,000 แต่ด้วยเรื่องราวสุดพิเศษที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ Nike ทำให้คู่นี้ถูกประมูลและกลายเป็นสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุด ก่อนถูกโค่นตำแหน่งด้วย Air Jordan 1 ซึ่ง Moon Shoe คู่นี้ได้ถูกผลิตขึ้นในปี 1972 หนึ่งปีหลังจากที่กำเนิดแบรนด์ Nike ภายใต้การออกแบบของผู้ร่วมก่อตั้ง Bill Bowerman โดยถือว่าเป็นนวัตกรรมรุ่นแรกๆที่ถูกคิดค้นเพื่อใช้ในการทดสอบ Olympics Trials ที่ผลิตเพียงจำนวน 12 คู่ และเชื่อว่าคู่นี้เป็นเพียงคู่เดียวที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด 



 
Converse Fastbreak “Michael Jordan’s Game-Worn” ถูกประมูลด้วยราคา $190,373 (ประมาณ 5.9 ล้านบาท)

ก่อนนักบาสเกตบอลคนดังจะผูกปิ่นโตร่วมกับ Nike และถือกำเนิด Air Jordan แต่เชื่อหรือไม่ ว่ายังมีรองเท้าอีกหนึ่งคู่ที่ถูกสวมใส่และคว้าชัยชนะให้กับ Micheal Jordan โดย Converse คู่นี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันกีฬา Olympics ปี 1984 คู่ชิงระหว่างอเมริกาและสเปน ซึ่งก่อนหน้านั้น MJ ก็สวมใส่ Fastbreak ลงสนามอยู่เสมอ ตั้งแต่สมัยเล่นให้กับทีม University of North Carolina   


Air Jordan 12Air Jordan 12
Air Jordan 12 "Flu-Game" ถูกประมูลด้วยราคา $104,765 (ประมาณ 3.3 ล้านบาท)

อีกคู่ประวัติศาสตร์แห่งวงการกีฬาบาสเกตบอลกับรองเท้ารุ่น Air Jordan 12 ที่ไม่ได้โด่งดังเพียงคว้าชัยชนะแต่อย่างเดียว เพราะในแมตช์นั้น MJ ได้มีอาการไม่สบาย ซึ่งแม้ว่าจะป่วยแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคว้าชัยมาให้กับทีม Chicago Bulls ด้วยคะแนน 38 แต้ม และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รองเท้าคู่นี้ถูกขนานนามว่า “Flu-Game” 


Nike Air Mag Self-Lacing 2016Nike Air Mag Self-Lacing 2016
Nike Air Mag Self-Lacing 2016 ถูกประมูลด้วยราคา $104,000 (ประมาณ 3.2 ล้านบาท)

แม้ว่า Nike Air Mags จากภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง Back to the Future 2 จะไม่สามารถผูกเชือกได้อัตโนมัติดั่งที่ปรากฏในภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามทาง Nike ก็สามารถสานฝันนวัตกรรมแห่งอนาคตกลายเป็นจริงขึ้นเมื่อปี 2011 จำนวน 1,500 คู่ กับตั้งราคาไว้สูงถึง $3,800 ซึ่งนับว่ายากที่จะครอบครอง แต่ก็ไม่เท่ากับปีโมเดลปี 2016 ที่ได้ผลิตเพียง 89 คู่ ตามจำนวนเดียวกันกับปีที่ภาพยนตร์ออกฉาย พร้อมกับการสุ่มรับสิทธิซื้อจากการซื้อตั๋วออนไลน์ 


Nike Air Mag “Back to the Future II” 1989Nike Air Mag “Back to the Future II” 1989
Nike Air Mag “Back to the Future II” 1989 ถูกประมูลด้วยราคา $92,100 (ประมาณ 2.9 ล้านบาท)

จากพลอตเรื่องที่ตัวละคร Marty McFly ได้ข้ามเวลาจากปี 1985 สู่ปี 2015 ซึ่งย้อนกลับไปในปีที่ภาพยนตร์ถูกฉาย รองเท้าผูกเชือกเองอัตโนมัตินับเป็นเรื่องเกิดคาดอย่างมาก แม้จะเป็น Mock Up ไว้สำหรับใช้ในภาพยนตร์ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทำให้มูลค่าของมันลดลงเลย เพราะอย่างคู่ที่สวมใส่โดย Michael J.Fox มีราคาพุ่งสูง แม้ว่าสภาพดูผุพังตามกาลเวลาก็ตาม แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าที่ประมูลกันอยู่นี้ มีเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น 


Diamond Encrusted Nike Air Force 1Diamond Encrusted Nike Air Force 1
Diamond Encrusted Nike Air Force 1 ถูกประมูลด้วยราคา $50,000 (ประมาณ 1.5 ล้านบาท)

 ‘Diamond is a girl best friend’ อาจใช้ไม่ได้สำหรับเหตุการณ์นี้ โดยรองเท้าคู่นี้เป็นของนักร้องแร็ปเปอร์ Big Boi หรือที่รู้จักกันดีในนามของวง OutKast ได้นำ Nike Air Force 1 ที่แสนธรรมดาไปเพิ่มมูลค่าด้วยการคัสตอมพิเศษจากการประดับเพชรสีแชมเปญขนาด 13 กะรัต จากนั้นจึงค่อยนำไปประมูลหารายได้มอบให้แก่การกุศล 


 Dior Air Jordan1 เคยถูกรีเซลด้วยราคา $37,506 (ประมาณ 1.1 ล้านบาท)

คู่นี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการลงทุนกับรองเท้าสนีกเกอร์ ที่สามารถสร้างกำไรให้กับคุณได้จริงๆ เพราะนอกจากลวดลายโมโนแกรมที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์หรูประดับแล้ว ยังเป็นผลงานการออกแบบชิ้นสำคัญของ Kim Jones ภายใต้ชายคา Dior Men และด้วยจำนวนที่มีจำกัดเพียง 8,500 คู่ ทำให้ช่วงหนึ่งรองเท้าคู่นี้ได้ถูกปั่นราคาพุ่งไปสูงถึงหลักล้าน จากราคาขายบนหน้าเว็บออนไลน์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Farfecth แม้ว่าในปัจจุบัน Air Dior ราคารีเซลจะลดลงก็ตาม แต่นับว่าเป็นอีกหนึ่งคู่ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งแห่งวัฒนธรรมสตรีทแฟชั่น 



Air Jordan 2 OG ถูกประมูลด้วยราคา $31,000 (ประมาณ 1 ล้านบาท)

ดูเผินๆ รองเท้าคู่นี้อาจไม่โดดเด่นเท่ากับคู่อื่น ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและเน้นความหรูหรากว่ารุ่นแรก พร้อมกับการตราหน้า ‘Made In Italy’ ที่ต้องการเปลี่ยนให้รองเท้าบาสเกตบอลสามารถสวมใส่กับสูทได้อย่างไม่เคอะเขิน ซึ่งแม้ว่าตอนที่รุ่นนี้ได้เผยโฉมในปี 1986 จะไม่มีใครเก็ทกับการเอาโลโก้ Swoosh ออกก็ตาม แต่ผ่านมาในยุคปัจจุบันความแปลกของคู่นี้ ก็กลายเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักสะสม

 


 Eminem X Carhartt X Air Jordan 4 Retro ถูกประมูลด้วยราคา $30,100 (ประมาณ 9 แสนบาท)

รองเท้าคู่นี้ได้รับการออกแบบร่วมของนักร้องแร็ปเปอร์ดัง Eminem ซึ่งถ้าหากคิดว่านี้ไม่ธรรมดาแล้ว คิดใหม่ได้เลยเพราะรองเท้าคู่เป็นการคอลแลบระหว่างสองแบรนด์ขวัญใจสายสตรีทอย่าง Carhartt และ Nike โดยสาเหตุที่คู่นี้เป็นการร่วมมือระหว่างหลายเจ้า เพราะเงินที่ได้จากการประมูลจะถูกนำไปมอบให้แก่มูลนิธิ Marshall Mathers foundation นั้นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook