[valentine] รักที่มีแต่เราที่รู้...

[valentine] รักที่มีแต่เราที่รู้...

[valentine] รักที่มีแต่เราที่รู้...
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องความรักของผมน่ะเหรอ...มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะลำบากเลยทีเดียวล่ะ!! ด้วยประสบการณ์ที่พบแต่ความผิดหวังมาโดยตลอดมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะจีบใครอีกเลย...จนกระทั่งเจอคนๆ นึง...

ก่อนอื่นจะขอเล่าเหตุการณ์ความรักช่วงก่อนหน้านี้ก่อนนะครับ...

"รักครั้งแรก"

       เป็นความรักที่เกิดขึ้นตอนเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เธอคนนั้นชื่อว่า "เอ" (นามสมมุติ) เธอเรียนอยู่สายศิลปะเราเคยเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้น ม.2 และก็ได้พูดคุยกัน เล่นด้วยกัน วาดรูปด้วยกันอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร ผมก็ใช้ชีวิตในแบบของผมไปตามปกติจนกระทั่ง...

       ...เพื่อนๆ รอบข้างเริ่มล้อผมกับเธอคนนั้นว่าเป็นแฟนกัน "ล้ออะไรกันอยู่ได้ ไร้สาระชะมัดเลย!!" ผมคิดในใจแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอนานๆ เข้าก็เริ่มคิดเหมือนกันแฮะว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงล้อกันแบบนี้ เราไปทำอะไรรึเปล่าที่เป็นการแสดงออกว่าเรากับเค้าเป็นแฟนกัน คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกผมเลยลองไปถามเพื่อนคนนึงว่า

"นี่นาย..ไอ้เรื่องที่เพื่อนๆ ล้อเราน่ะ ถามจริงๆ เหอะว่ามันเอาข้อมูลพวกนั้นมาจากไหนวะ..?" เพื่อนมันก็ตอบว่า

"ก็เห็นเอ็งไปไหนด้วยกันบ่อย กินข้าวด้วยกัน เล่นด้วยกัน ตอนเรียนวาดรูปก็ยังนั่งติดกันตลอด ตอนคุยกันเนี่ยดูสนุกสนานเหมือนกับว่าโลกนี้มีกันเพียงสองคนนั่นแหละ..." พอเพื่อนพูดจบผมนี่อึ้งไปเลยเหมือนกัน

"นี่มันเป็นขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?" ผมคิดในใจ

หลังจากนั้นผมก็เริ่มคิดละว่าเวลาที่ผมได้อยู่กับเค้านั้นมันสนุกจริงๆ แต่ก็ยังเนียนๆ เรื่อยๆ จนมาเริ่มคิดจริงๆ จังๆ ก็ตอน ม.3 ผมก็พยายามแสดงออกล่ะนะว่าผมชอบเค้าแต่พยายามจะไม่ให้ตรงเกินไป อยากให้เค้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอมารู้สึกทีก็รู้สึกแบบเดียวกันกับผมอะไรประมาณนี้ อิอิ ผมเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับเธอมากขึ้น ตั้งแต่ซื้อของขวัญให้ในโอกาสพิเศษต่างๆ ชวนไปเที่ยว เอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังคงไม่ได้บอกอะไรกับเธอไปตรงๆ ว่าผมรู้สึกยังไง...

...ในช่วงกิจกรรมโรงเรียนที่ใกล้จะถึงจะมีการจัดการประกวดทักษะวิชาต่างๆ กันภายในโรงเรียน ทั้งร้องเพลง ศิลปะ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย และอื่นๆ เยอะแยะไปหมดเพื่อที่จะคัดนักเรียนที่มีความสามารถไปแข่งขันกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ผมก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปเป็นนักร้องเพลงลูกกรุง กับเพลงสากลของโรงเรียน เนื่องจากชนะการประกวด ส่วนเธอคนนั้นก็ได้ลงแข่งวาดรูปตามความถนัดของเธอ...พวกเราก็เริ่มห่างๆ กัน ไม่ค่อยได้เจอ หรือไปไหนด้วยกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมจำได้เลยว่าช่วงนั้นผมจะซ้อมร้องเพลงอยู่ที่ห้องพักของอาจารย์ที่สอนผมร้องเพลงอยู่บ่อยมากแทบทุกวัน จนผมเริ่มมีความสุขที่ได้อยู่กับเสียงเพลง เพลงที่ใช้ประกวดก็เป็นเพลงเก่าหน่อย ตัวอย่างเพลงลูกกรุงที่ใช้ประกวด เช่น เรือนแพ ผู้ชนะสิบทิศ ส่วนเพลงสากลก็จะเป็น Love Story, My Love, And i love you so ประมาณนี้

...ในระหว่างซ้อมเก็บตัวสำหรับการแข่งขันอยู่ๆ ฝ่ายนักร้องหญิงในหมวดเพลงสากลก็ขาดขึ้นมาซะงั้น ผมเลยได้ลองไปชวนเอ และเพื่อนๆ มาลองคัดตัวดู พวกเราเลยได้มีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้กันอีกครั้ง แต่ก็น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เป็นตัวแทนแข่งขันร้องเพลงในหมวดเพลงสากล พวกเราเลยต้องห่างกันอีกครั้ง...

แล้วก็นะ...เมื่อวันแข่งขันทักษะความสามารถระหว่างโรงเรียนในระดับจังหวัดมาถึง ผมก็ได้รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันประกวดเพลงลูกกรุงชาย และได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันต่อที่งานศิลปหัตถกรรมภาคใต้ในอีก 1 เดือนข้างหน้า...เท่ากับว่าพวกเราจะยิ่งห่างกันขึ้นไปอีก แต่ในช่วงนี้ก็ยังไม่กล้าคิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าจะทำฝันของตัวเองให้เต็มที่ก่อน เรื่องความรักรอไปก่อนละกัน 555+ สุดท้ายด้วยความพยายามที่มีมาโดยตลอดก็ทำให้ผมได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในประเภทการประกวดเพลงลูกกรุงมาจนได้...

เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อจะเอาข่าวดีมากบอกให้กับเธอได้รู้ "นี่ๆ เอ รู้รึเปล่าว่าเราได้รางวัลจากการประกวดร้องเพลงมาด้วยแหละ.."

"เหรอ..ดีใจด้วยนะ ว่าแต่ไหนของฝากล่ะ?" เธอยิ้มแล้วก็ตอบกลับมา

"นี่ไง..!! ของฝาก" ผมชี้นิ้วไปที่ถ้วยรางวัล "เหรอ..ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวโรงเรียนก็ยึดไปแล้ว" เธอบอก แล้วทำหน้าเหมือนงอนๆ แต่ในที่สุดเธอก็หัวเราะออกมา แล้วก็ชวนกันเดินไปเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า...

ช่วงปิดเทอม...

ผมก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านของเอที่เชียงราย ครอบครัวเค้าน่ารักมาก เป็นกันเอง ดูแลเราดีเหมือนลูกหลานเลยล่ะ ครอบครัวเค้ามีอาชีพค้าขาย พ่อเค้าขายไส้กรอก กับน้ำปั่น ส่วนแม่จะขายขนมจีน กับส้มตำ ขณะที่เรียนก็เคยซื้อกินอยู่บ่อยๆ แล้วก็ได้กินฟรีอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน พอไปเที่ยวบ้านเค้าก็เลยไปช่วยเค้าขายของซะหน่อย...เผื่อจะได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาบ้าง ผมก็เพิ่งได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับการขายของก็ครั้งนี้แหละ “ก็สนุกดีเหมือนกันนะ การขายของเนี่ย” นี่คือสิ่งที่ผมคิด ณ ตอนนั้น และในทุกๆ เช้าจะตื่นมาซักเสื้อผ้าด้วยกัน ปอกมะละกอด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เดินไปช่วยแม่ขายของด้วยกัน คุณลองคิดดูสิครับ ว่ามันจะฟินขนาดไหน ผมไม่อยากให้โรงเรียนเปิดเทอมเลยล่ะ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้จริงไหม?

เปิดเทอมใหม่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ผมได้อยู่ห้อง ม.4/1 เป็นปีที่ผมตัดสินใจเข้าเรียน นศท. หรือนักศึกษาวิชาทหาร และเป็นปีที่ผมเริ่มเขียนกลอนให้เธอ กลอนที่เขียนก็จะเป็นแนวความรักนี่แหละนะ...เมื่อถึงวันเกิดของเธอ วันนั้นผมจำได้เลยว่าผมได้ซื้อตุ๊กตาหมีสีขาวให้เธอเป็นของขวัญ แล้วในวันนั้นก็เป็นวันที่ผมจะต้องไปฝึก นศท. อีกโรงเรียนหนึ่งและจะต้องเดินทางตอน 11.00 น. ขณะนั้นเอกำลังเรียนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ เป็นอังกฤษเพื่อการโรงแรม ตอนนั้นผมคิดเพียงว่าต้องให้ตอนเวลานี้เท่านั้นแหละ ไม่งั้นก็จะไม่มีโอกาสได้ให้เธออีกแล้วในวันนี้ เนื่องจากกว่าจะฝึกเสร็จก็ช่วงเย็นเลยจึงไม่ได้แวะเอาของขวัญมาให้เธอที่โรงเรียนอีกแน่ๆ ผมจึงตัดสินใจขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนเพื่อเอาของขวัญวัดเกิดไปมอบให้กับเธอ สายตาเธอที่มองผมในวันนั้นเหมือนจะเขินๆ อยู่หน่อย พวงแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อทั้งสองข้าง เสียงเพื่อนในห้องรอบข้างไม่ต้องพูดถึงเลย ทั้งโห่ ทั้งผิวปากดังลั่นเลย ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาซะอย่างงั้น

ผมยื่นตุ๊กตาให้เธอพร้อมทั้งบอกว่า “สุขสันต์วันเกิดครับ” แล้วก็ยิ้มให้ แต่อาจารย์ผู้สอนนี่สิ อยู่ๆ ไม่รู้ว่าแกนึกอะไรขึ้นมาให้เธอพูดขอบคุณผมเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งแนะนำประโยคที่จะต้องพูดให้อีก ไอ้เพื่อนเวรข้างๆ ก็ล้อกันเสียงดัง จนห้องข้างๆ ก็เดินมาดู เพื่อนๆ นศท. ก็ดันมากันอีก ผมทำอะไรไม่ถูกเลย หลังจากนั้นผมจำได้แค่ว่าผมบอกเค้าไปว่า “ไปก่อนนะ แล้วค่อยเจอกันใหม่” อีตาเพื่อนสุดกวนก็ตะโกนแทรกเข้ามาเลยว่า

“นี่แกแค่ไปฝึก นศท. นะเว้ย ไม่ได้จะไปต่างประเทศร่ำลากันซะขนาดนั้นน่ะ” คราวนี้ทุกคนก็ผิวปาก โห่ร้องกันใหญ่ ส่วนผมก็เดินหนีออกมาเลย...และในวันนั้นผมไม่ได้กินข้าวเที่ยงไป แต่โชคดีหน่อยที่ลุงขับรถใจดีแวะตลาดให้ ยังพอได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมากินบ้าง...

วันต่อมาอยู่ผมก็รู้สึกว่าไม่กล้าที่จะไปพบหน้าเธอเลย ความรู้สึกของเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน นึกถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อนั้น แถมไอ้เพื่อนเวรทั้งห้องมันดันล้อกันตั้งแต่เช้า ข่าวพวกนี้มันไปเร็วจริงๆ เลย ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติเราทั้งคู่ก็ไม่กล้าสบตากัน แต่ผมก็ยังหันไปมองๆ เธออยู่นะ แต่หันไปเมื่อไหร่เพื่อนตัวแสบมันก็กระแนะกระแหนขึ้นมาเมื่อนั้น จนผมก็ได้แต่นิ่งๆ ไว้จนเวลาผ่านไปประมาณสองเดือน...ผมก็ได้พูดคุยกับเธออีกครั้ง เนื่องจากเพื่อนๆ มันเบื่อที่จะล้อไปแล้วนั่นเอง

และในที่สุดผมก็ได้ตัดสินใจบอกความรู้สึกของผมให้กับเธอได้รู้ พร้อมทั้งมอบสมุดกลอนที่แต่งขึ้นมาเองเล่มหนึ่งมอบให้กับเธอ “เรารู้มาสักพักแล้วล่ะ ว่านายรู้สึกยังไงกับเรา แต่มาบอกตอนนี้มันจะช้าไปรึเปล่า?” เธอพูดขณะที่จ้องตาผม ซึ่งในขณะนั้นผมคิดอะไรไม่ออก ในหัวมันมีแต่สีขาวโพลนไปหมด ผมใช้เวลาตั้งสติอยู่พักนึงจึงรู้สึกตัว แต่ว่าขณะนั้นเธอก็ยังคงจ้องตาผมอยู่เหมือนเดิม

“ว่าแต่...แต่งกลอนจีบสาวเนี่ยมันเก่าไปไหมยะ..!! แต่ก็ขอบคุณนะ” เธอพูดยิ้มๆ กับผม ขณะนั้นผมสังเกตเห็นว่าที่ตาของเธอมีหยดน้ำใสๆ อยู่นิดหน่อย สักพักเธอก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมดีกว่านะ...”

วันถัดมา...เราทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย และผมก็ไม่ได้คิดจะสนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย เพื่อนถึงขั้นตั้งฉายาเจ้าชายน้ำแข็งให้ซะอย่างนั้น ช่วงนั้นผมพอจะจำได้ว่ามีรุ่นน้องมาสนใจผมอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้จะสนใจอะไรเท่าไหร่ จนกระทั่งเรียนจบชั้น ม. 6 ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป...

สองปีต่อมา...

อยู่ๆ เธอก็เขียนจดหมายมาหาผม บอกว่าตอนนี้เค้าย้ายมาเรียนที่เชียงรายแล้วนะ ผมเดาว่าน่าจะเป็น ปวช. หรือ ปวส. เนี่ยแหละบอกว่าเค้าเอารูป และเรื่องของเราไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังแล้วเพื่อนๆ เค้าสนใจอยากจะคุยด้วย

**หากได้ iPhone 6 เป็นรางวัลจะเขียนตอนต่อไปให้อ่านนะครับ อิอิ



ขอขอบคุณบทความความรักจากคุณ ธีรพิสิฐ โรจน์บุญถึง
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.istockphoto.com/

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook