กาละแมร์ พัชรศรี : สมองใช้มากไปก็แก่!!

กาละแมร์ พัชรศรี : สมองใช้มากไปก็แก่!!

กาละแมร์ พัชรศรี : สมองใช้มากไปก็แก่!!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในเย็นวันหนึ่งที่เพื่อนรวมตัวกินข้าวด้วยกันซึ่งกว่าจะนัดกันได้ก็แสนยากเย็น เพราะแต่ละคนก็มีงานการทำล้นมือ มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมาย

ใครคนหนึ่งเสนอความคิดเรื่องการทำธุรกิจเกี่ยวกับ"ข้าว" ขึ้นมา บอกว่ามันมีช่องทาง คนไทยเรากินข้าวทุกวัน อยากมีแบรนด์ให้คนนึกถึง

พวกเราก็เสนอความคิดกันไปต่างๆ นานา เรื่องการทำการตลาดบ้าง ประชาสัมพันธ์บ้าง การบรรจุหีบห่อบ้าง

แล้วเราก็ทิ้งเรื่องข้าวไว้ เมื่อเพื่อนอีกคนเปิดประเด็นเรื่องการไปหาหมอตรวจสุขภาพ!

การไปพบหมอครั้งนี้ใช้เวลานัดเป็นปีเนื่องจากหมอคิวแน่นมาก เป็นหมอทางด้าน anti-aging ซึ่งตอนนี้เป็นกระแสมาแรงของบ้านเรา ทำอย่างไรให้แก่ช้า ทำอย่างไรให้ดูหนุ่มสาวและยังดูดี อาจจะไม่เหมือนตอนยังเป็นวัยรุ่น แต่ขอให้มันชะลอวัยไปหน่อยได้ไหม

การตรวจจึงใช้วิธีการมากมาย อย่างเช่น เจาะเลือดเอาผลตรวจไปเข้า Lab ต่างประเทศ ค่าตรวจนั้นแสนกว่าบาท!

แต่เราจะรู้เลยว่าเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไรในอนาคตไหมเพื่อจะได้เตรียมตัวป้องกัน ปรับพฤติกรรมชีวิตไม่ให้นำไปสู่การเป็นโรคนั้นๆ

ดูได้ถึงยีน โครโมโซม ระดับฮอร์โมน ระบบต่างๆ ในอวัยวะร่างกาย ดูได้หมดว่าอะไรแข็งแรง อะไรอ่อนแอ

สำหรับเพื่อนนั้น อวัยวะภายใน ตับไตไส้พุงดีหมด แข็งแรงดี หัวใจทำงานดี เพราะออกกำลังกาย ไม่เสี่ยงจะเป็นมะเร็ง แต่สิ่งที่หมอเป็นห่วงคือ "สมอง"

ในขณะที่เพื่อนอายุ 30 ปลายๆ แต่สมองนั้นเหมือนคนอายุ 80!!!

ซึ่งหมอบอกว่า "หมอรับไม่ได้"

อย่าว่าแต่หมอรับไม่ได้เลย คนฟังยังงง หมอบอกว่าสมองคุณอายุมากกว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งใหญ่โตในบ้านเราอีก ทั้งๆ ที่เขาอายุมากกว่าคุณ 1-2 เท่า!

และหมอยังบอกอีกว่าถ้าคุณยังใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไป คุณน่าจะเสียชีวิตตอน 55!!

"หาาาาา!!!" เสียงเพื่อนร้องพร้อมกัน

หมอบอกว่า เพื่อนใช้สมองหนักมากเกินไป มีเรื่องที่สมองต้องคิดอยู่ตลอดเวลา นำไปสู่ความเครียด และมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้าสูงมาก

เรื่องนี้ไม่แปลกใจเพื่อนรอบข้างทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย เพราะตัวเพื่อนฉันคนนี้อารมณ์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวก็มีความสุข ร่าเริง เดี๋ยวก็บ่นเบื่อหน่าย บางครั้งก็เศร้าเหงาหงอย พวกเราคุ้นชินกันดี

ส่วนเรื่องสมองนั้น หมอแนะนำว่า ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองโดยเฉพาะหลัง 6 โมงเย็น!

หมอบอกให้เพื่อนเลิกทำงานหลัง 6 โมงเย็น เลิกใช้สมองคิด ดูหนัง อ่านหนังสือก็ไม่ได้เพราะจะใช้สมองคิดแล้วต่อยอดไปถึงการทำงาน

เลิกเล่นโซเชียลมีเดียหลัง6 โมงเย็น ให้ทำกิจกรรมผ่อนคลาย สบายๆ อย่างนัดกินข้าวกับเพื่อน แต่ห้ามคุยเรื่องงาน! (อ้าว! เรื่องข้าวเมื่อกี้ล่ะ)

ให้ทำอะไรก็ได้ที่เพลิดเพลินบันเทิงใจไป

หมอแนะนำไปถึงวิธีการบริหารงานเพราะผู้บริหาร เจ้าของกิจการส่วนใหญ่สมองแก่กันเยอะ

หมอบอกว่า ก่อนหน้านี้คุณต้องใช้สมองคิดตั้งแต่ 1-10 คิดทุกขั้นตอน กระบวนการ รายละเอียดไปทั้งหมด ให้เปลี่ยนใหม่!

จ้างคนเก่งมาเลย สมมติว่าคุณจะทำโปรเจ็กต์หนึ่งขึ้นมา ก็ให้คนเก่งๆ ที่คุณจ้างมาคิดมาแข่งกัน แล้วคุณเลือกเลยว่าคุณจะเอาของใคร แค่เลือก แต่ไม่ต้องคิดทั้งหมด!

เป็นวิธีผ่อนภาระสมองของตัวเอง ลดความสมบูรณ์แบบหรือ perfectionist ลง (เพื่อนฉันมันจะทำได้เหรอ มันคงคิดในใจว่า ถ้ามันมีคนเก่งๆ มาทำงานด้วย มันก็คงไม่ต้องมาลงมือทำเองทั้งหมดหรอก แต่ก็อย่างที่หมอว่า ถ้าลดความสมบูรณ์แบบลงบ้างก็อาจจะดี)

เพื่อนถามว่า สูบบุหรี่ได้ไหม หมอบอก "ได้!" ถ้านิดๆ หน่อยๆ แล้วมันทำให้คุณผ่อนคลาย (เออ แปลกดี! หมอคงเห็นว่าผลร่างกายดี ถ้าทำอะไรแล้วสมองมันได้ผ่อนคลายบ้าง ก็พออนุโลมได้)

นอกนั้นก็จะเป็นปรับวิตามินให้มันพอดีกับร่างกายของเพื่อน และปรับฮอร์โมนให้สมดุล

ส่วนเพื่อนที่เสนอเรื่องข้าวก็บอกว่า "เออ เรื่องข้าวไม่ทำแล้วนะ งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เยอะจนแทบไม่มีเวลาพักแล้ว เอาเวลาไปทำสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขดีกว่า"

แล้วนี่คุณอ่านเรื่องนี้กันหลัง 6 โมงเย็นรึเปล่าคะ!!???

ขอบคุณภาพประกอบจาก อินสตาแกรม kalamare

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook