บัว-ปัทมน สุริยะ กับแง่มุมชีวิตที่คิดได้จากเรื่องราวของวันวาน

บัว-ปัทมน สุริยะ กับแง่มุมชีวิตที่คิดได้จากเรื่องราวของวันวาน

บัว-ปัทมน สุริยะ กับแง่มุมชีวิตที่คิดได้จากเรื่องราวของวันวาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

LIVING IN  THE MOMENT

บัว-ปัทมน สุริยะ กับแง่มุมชีวิตที่คิดได้จากเรื่องราวของวันวาน

 

ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างบัว-ปัทมน สุริยะ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเราขณะนี้ จะเคยผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ซึ่งทุกเรื่องก็ล้วนส่งผลให้เธอเก่งและแกร่งตามประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้นอกเหนือจากการทำหน้าที่ภรรยาของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่าง ตู-นิธิพงศ์ สุริยะ และหน้าที่คุณแม่คนเก่งของลูกสาว 3 คน ทั้งน้องเทต ปณิธี, น้องเธมส์ ปณิดา และน้องไทน์ ปัณฑิตาแล้ว เธอยังเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายกระเป๋าสุดฮิปแบรนด์ Crumpler อีกด้วย วันนี้เธอพร้อมเปิดเผยทุกแง่มุมในชีวิตกับ OK! ให้พวกเราทำความรู้จักกับเธอให้ดีขึ้นกว่าเดิม

นอกจากข้อมูลที่ทราบกันดีว่าคุณเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณปองพล อดิเรกสารแล้ว ยังมีอะไรที่อยากจะบอกเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟังไหมครับ 

คุณพ่อคุณแม่ของบัวแยกทางกันตอนบัวอายุประมาณ 5 ขวบค่ะ หลังจากนั้นบัวก็ไปอยู่ที่บ้านคุณยายและคุณแม่ แล้วพอจบ ม.6 ก็เอนต์ทรานซ์ติดที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นเคยสมัครไปเรียนที่ญี่ปุ่น แต่คุณแม่เห็นว่าการเรียนกฎหมายมันมีประโยชน์กับการทำธุรกิจในอนาคต ก็เลยเรียนกฎหมายจนจบ จริงๆ แล้ว บัวเป็นคนสบายๆ ง่ายๆ ออกจะติดดิน แต่คุณแม่จะดูแลเราแบบคุณหนู ตอนเด็กๆ เราอยากเรียนขี่ม้า ยิงปืน ท่านก็ไม่เคยให้เลย ทั้งๆ ที่คุณพ่อเป็นนายกสมาคมยิงปืนหลังจากเรียนจบคุณทำงานที่ไหนเป็นที่แรก พอเรียนจบธรรมศาสตร์ ก็ไปเรียนปริญญาโททางด้านการจัดการทันที ตั้งใจเรียน MBA แต่ด้วยความที่โง่เรื่องเลข คะแนน G-Math ไม่ถึง บัวเลยไปเรียนเป็นคอร์สที่ฮาวายอยู่ 14 เดือน กำลังจะเข้าเรียนปริญญาโทอยู่แล้ว แต่ก็ถูกทางบ้านเรียกกลับ เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี บัวเลยเข้ามาทำงานแผนกส่งออกที่บริษัท Royal  Ceramic Industry ของคุณตา (กระเบื้อง RCI) บัวทำงานอยู่ที่นี่ 17 ปีเลยค่ะ

 

การที่เราเป็นลูกสาวของคุณปองพลนี่มันส่งผลทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบเราหรือเปล่า

ไม่มีผลเลยค่ะ เพราะทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่มาก คุณพ่อท่านไนซ์กับทุกคนเอาเข้าจริงบัวจะอยู่กับคุณแม่เป็นส่วนใหญ่ ท่านเลยมีบทบาทกับชีวิตเราค่อนข้างเยอะ ท่านเป็นเหมือนไอดอลของบัว เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากที่สุดเท่าที่บัวเคยรู้จักเลย

การที่เราเติบโตมาในครอบครัวนักการเมือง มันมีผลกับการดำเนินชีวิตของเราบ้างไหมครับ

มีผลมากที่สุดเลยค่ะ คือรู้เลยว่าตัวเองสนใจเรื่องการเมืองมาก แต่ถ้าให้เราเล่นการเมืองนี่ไม่ได้เลย บัวยังจำคำพูดของคุณปู่ได้เลยว่า ‘บัวอายุจะ 25 แล้ว ลงสมัคร ส.ส. ได้แล้วนะลูก’ บัวบอกเลยว่าจะไม่เล่นการเมือง เพราะว่าในวงการนี้มีแต่นักการเมืองโกงๆ บัวไม่ชอบ วิธีการตุกติก บัวไม่ชอบเรื่องใต้โต๊ะ เลยไม่อยากเล่น คุณปู่ก็บอกว่า ‘ถ้าคนดีๆ คิดแบบนี้หมด การเมืองก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะมีแต่คนที่จะเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาเล่นการเมือง’ แล้วมันก็เป็นอย่างที่ปู่บอกจริงๆ เราคิดถูกมากที่ไม่เล่นการเมือง เพราะเราทนไม่ได้ คุณแม่ก็ทนไม่ได้ แม่บอกว่าถ้าบัวเล่นการเมือง แม่คงไปกระโดดคร่อมเก้าอี้ประธานสภาแน่ๆ (หัวเราะ)

แล้วคุณไม่เคยคิดเหรอครับว่าเราน่าจะใช้ความรู้ความสามารถเปลี่ยนแปลงวงจรแย่ๆ ในแวดวงการเมืองได้

ไม่ค่ะ บัวไม่สามารถเผชิญหน้าหรืออยู่ใกล้ๆ คนพวกนั้นได้ คือเรารังเกียจคนที่ไม่ซื่อตรง ดังนั้นเราคงไม่สามารถทำงานกับคนเหล่านั้นได้หรอกค่ะ แล้วเราดันเรียนนิติศาสตร์ก็เลยยิ่งแรงไปกันใหญ่ ก็เลยเลือกที่จะช่วยเหลือในภาคประชาชนก็เท่านั้น ตอนมีเรื่องพฤษภาทมิฬบัวก็ออกไปลุย ไปประท้วงที่สนามหลวง ตอนที่คณะปฏิวัติลากลวดหนามกั้นผู้ชุมนุม รถบัวเป็นรถคันสุดท้ายที่ได้ผ่านลวดหนามนั้นออกมา ที่บ้านบัวมีทั้งทหาร, พรรคเทพ, พรรคมารอยู่ในบ้านเดียวกันหมดเลย (หัวเราะ) พอคุณพ่อเลิกเล่นการเมืองท่านก็มีความสุขมาก ทุกวันนี้ท่านเป็นนักเขียน นักเดินทาง เป็นพิธีกรรายการทีวี ชีวิตก็ค่อนข้างลงตัว แต่ก็ยังมีบางคนพยายามเอาคุณพ่อเข้ามาเกี่ยวโยงกับบางเรื่องอยู่ แต่ว่าโชคดีมากเลยที่ทุกอย่างมันจบแล้ว

 

 

คุยเรื่องงานกันมาเยอะแล้ว อยากคุยเรื่องความรักและครอบครัวบ้าง ผู้หญิงเก่งและแกร่งอย่างคุณก็เคยผ่านเรื่องราวทั้งดีและไม่ดีเกี่ยวกับความรักมาแล้ว

เรื่องราวตอนนั้นมันเกิดขึ้นค่อนข้างเร็วค่ะ บัวใช้เวลาตัดสินใจเแค่ 4 วันก่อนแยกทางกัน ความจริงเรามีอะไรอยู่ในใจมานานและลองดูๆ มาสักพักแล้ว การแต่งงานในครั้งแรกนั่นอยู่กันมา 7 ปี แต่ก่อนหน้านั้นก็คบกันมา 4 ปี รวมๆ แล้วก็คือ 11 ปี ซึ่งบัวพูดได้คำเดียวว่าเราอึดมาก เพราะทุกอย่างมันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด แต่เราก็แฟร์ๆ ตัดสินใจร่วมกันว่ามันควรจะจบ บัวใช้เวลา 4 วันก่อนตัดสินใจที่จะเก็บกระเป๋าออกจากบ้านตัวเอง แล้วไปอยู่บ้านแม่ พอกลับมาบ้านตัวเองเห็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้านไม่เหลืออยู่เลยสักชิ้น แต่เรากลับมีความสุขมากนะคะ

แต่ในที่สุดคุณก็ผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยความเข้มแข็ง

ก็รู้สึกภูมิใจมากค่ะที่ผ่านจุดนั้นมาได้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอุทาหรณ์ที่ดีมากๆ ถ้ามีโอกาสเราก็จะสั่งสอนให้ลูกๆ เข้มแข็งเหมือนเรา เพียงแต่เราไม่อยากเล่าตอนนี้ เพราะเขาอาจจะตกใจถ้าเขาโตอีกสักหน่อยก็จะบอกให้เขาฟังว่าทำไมแม่ถึงเข้มแข็งได้ เหตุการณ์ที่คุณผ่านมานี่ต้องบอกเลยว่าโชคดีที่ไม่มีลูกด้วยกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตอาจจะตัดสินใจยากกว่านี้บัวโชคดีมากที่ไม่มีลูก ไม่รู้ทำไม ซึ่งตอนนั้นเขาก็อยากมีนะ แต่ทำอย่างไรก็ไม่มี แต่กับตู (สามี) แต่งงานปีเดียวมีลูกเลย แถมมีลูกแฝด ยิ่งแฮปปี้ไปกันใหญ่ (ยิ้ม)

 

 

อยากทราบว่าคุณผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมาได้อย่างไร

บัวเชื่อว่าทุกคนที่นับถือศาสนาพุทธ ต้องหันหน้าเข้าหาวัด ไปวิปัสสนา เราเองก็เป็นแบบนั้นมาตลอด แต่พอมีลูกนี่ไม่เคยไปเลยนะคะ เพราะไม่เคยห่างลูกได้เกิน 4 คืน อย่างไปทำงานต่างจังหวัดลูกจะบอกว่า ‘ทำธุระคืนเดียวไม่เสร็จเหรอคะคุณแม่’ (หัวเราะ) แม้แต่ทำงานกับตูที่ยุโรปก็อยู่ไม่เคยเกิน 4 คืน ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็เป็นแบบนี้ อย่างเคยไปเมลเบิร์นมีกำหนดการ 5 วัน ประชุมเสร็จตั้งแต่วันที่ 2 วันรุ่งขึ้นก็ยอมเลื่อนตั๋วกลับบ้านทันทีเลย เพราะโทรมาหาลูกแล้วเราก็ร้องไห้ลูกก็ร้องไห้ คือทุกอย่างนี่ลูกมาก่อนนั่นแสดงว่าคุณเองก็เริ่มศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆ เลยสิครับบัวเรียนรู้เรื่องนี้จากคุณแม่ค่ะ ทุกวันนี้ลูกๆ บัวก็เรียนรู้เรื่องนี้จากบัว พวกเขาสวดมนต์เก่งมาก จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้เราผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มาได้นี่มันก็เกี่ยวกับการศึกษาธรรมะด้วยนะคะ เราปล่อยให้เรื่องในชีวิตทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลามีปัญหาอะไร คนแรกๆ ที่นึกถึงก็คือตู ซึ่งเขาก็จะให้แง่คิดกับเรา…

 
สามารถอ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ที่นิตยสาร OK! vol.7 no.260 October 2015

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook