หญิงแกร่ง “นิพา เดชมา” จากลูกชาวนาสู่เจ้าของธุรกิจ รายได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี

หญิงแกร่ง “นิพา เดชมา” จากลูกชาวนาสู่เจ้าของธุรกิจ รายได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี

หญิงแกร่ง “นิพา เดชมา” จากลูกชาวนาสู่เจ้าของธุรกิจ รายได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” ยังคงเป็นสุภาษิตที่ใช้ได้สำหรับทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าคนเราจะเกิดมาต้อยต่ำเพียงใด ก็มีสิทธิ์เปลี่ยนลิขิตฟ้าด้วยตัวคุณเอง หากคุณมีความเพียรสร้างตน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค คุณก็จะประสบความสำเร็จได้อย่างเต็มภาคภูมิ เช่นเดียวกับ คุณนิพา เดชมา CEO หญิง ที่ Sanook ! Women ภูมิใจแนะนำ เธอพลิกชะตาชีวิตจากเด็กต่างจังหวัดไม่มีเงินเรียนหนังสือ อนาคตต้องฝากไว้กับการขายไข่เป็ด ล้มลุกคลุกคลานกี่ร้อยครั้ง ร้องไห้กี่ร้อยหน

แม้กระทั่งเคยคิดจะฆ่าตัวตาย จนวันนี้เธอเป็นเจ้าของธุรกิจครีมกันแดดที่สร้างรายได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี เธอมีเคล็ดลับอะไรถึงมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ไปติดตามวิธีคิด และเคล็ดลับความสำเร็จสู่เศรษฐีนีระดับร้อยล้านกัน

ชีวิตวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้เราฟังหน่อย

ปุ๋ยเป็นลูกชาวนาฐานะยากจน พ่อแม่มีลูก 7 คน ไม่มีเงินพอจะส่งลูกเรียน พอจบ ป.6 ทุกคนต้องหยุดเรียน แต่ปุ๋ยสังเกตว่าคนในหมู่บ้านพอไม่ได้เรียนก็ไปเป็นชาวนาชาวไร่ เลยขอแม่เรียนต่อถึง ม.6 ตอนเรียนลำบากมาก เพราะแม่ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนให้เรียน ปุ๋ยเลยเลี้ยงเป็ดแล้วเอาไข่ไปขายถึงจะได้เงินไปโรงเรียน พอเริ่มโตเป็นสาว ชาวบ้านแถวนั้นแม้แต่คนมีเงินก็ไม่นิยมส่งลูกสาวเรียน จะส่งแต่ลูกชาย

เขาก็มาว่าแม่เราว่า “คิดยังไงส่งลูกเรียน เงินก็ไม่มี แถมยังเป็นลูกผู้หญิงอีกด้วย ส่งไปก็เท่านั้นแหล่ะ” โดนดูถูกตลอดเวลา แต่ปุ๋ยก็ทนจนเรียนจบม.6 และอยากเรียนต่อเพราะอยากรวย คนรวยส่วนใหญ่บอกว่าต้องเรียนหนังสือ ปุ๋ยเลยมีเป้าหมายว่าจะเรียนหนังสือสูงๆ อย่างน้อยต้องจบปริญญาตรี เลยขอแม่มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่กรุงเทพฯ และหางานทำไปด้วย ปุ๋ยได้ทำงานโรงงานทอผ้า และไปเรียนวันเสาร์ อาทิตย์

ทำงานได้อาทิตย์เดียวร้องไห้ทุกวันเพราะเขาให้ปุ๋ยเข็นหลอดด้ายใหญ่ๆ มือปุ๋ยเลือดออกหมดเลย ปุ๋ยอายุแค่ 17 ไม่ได้มีความรู้อะไร บอกแม่ก็ไม่ได้ ถ้าบอกแม่คงให้เลิกเรียนและกลับบ้าน ปุ๋ยเลยเปลี่ยนไปสมัครที่โรงงานญี่ปุ่น ตั้งเป้าหมายว่าต้องสมัครให้ได้ พอไปสัมภาษณ์ก็ได้จริงๆ เราทำงานที่นั่น พอเสาร์ อาทิตย์ก็ไปเรียนที่วิทยาลัยครูราชภัฎฉะเชิงเทราลำบากมากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย รถก็ไม่มีต้องอาศัยรถเขาไปเรียน ตอนนั้นทำงานส่งตัวเองเรียนไปเรื่อยๆ และเงินบางส่วนก็ส่งกลับบ้านทุกเดือน

ธุรกิจแรกที่คุณเริ่มทำคืออะไร

เราเห็นว่าพนักงานโรงงานมีตั้ง 4,000 คน เลยคิดว่าจะทำอะไรให้ได้เงินเรียนหนังสือและส่งแม่ได้ด้วย พอเงินเดือนออก 2,800 บาท เดือนนั้นไม่ส่งแม่เก็บเงินไว้แล้วไปรับขนมปังมาขาย ตอนนั้นอายุ 18 ลำบากมากเวลาพักต้องออกจากโรงงานไปรับขนมปังมาขาย ถ้ากลับมาไม่ทันก็ไม่ได้ทานข้าว รับมา 4 บาท ไปขาย 6 บาท ได้กำไร 2 บาท ตอนแรกส่งเพื่อนในไลน์เดียวกันก่อนมี 100 คน เราก็ได้กำไร 200 บาท แล้วก็นั่งรถสองแถวไปรับขนมปังแล้วเข็นเข้ามาขายในโรงงาน

เราให้เครดิตเอาของไปก่อนแล้วค่อยจ่ายเงิน เพราะที่ทำงานเงินออกทุก 15 วัน เรามาคิดเพิ่มว่าทำยังไงจะได้เงินทุกวัน ก็เลยขยายกิจการไปขายเพื่อนพนักงานไลน์ข้างๆ พอเงินเดือนออกเราก็ได้เงินเยอะมาก แต่ก็ลำบากเหมือนกันเพราะบางทีข้าวแทบไม่ได้ทานเลย พอเงินทุนไม่พอก็เริ่มเล่นแชร์เป็นเท้าแชร์ได้เงินมา 5,000 แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณ 5-6 เดือน

ธุรกิจกำลังไปได้ดีมีรายได้เพิ่มมากขึ้นแต่ทำไมเลิกทำ

วันหนึ่งมีคนมาขายประกันให้เจ้านาย เราเริ่มสนใจเพราะรู้สึกว่ามันดี เลยเข้าไปถามพนักงานขายเลยว่า ถ้าเราอยากเป็นคนขายประกันบ้างต้องทำอย่างไร พี่พนักงานเลยพาเราเข้าไปเทรนด์ ตั้งแต่นั้นมาเลิกขายขนมปังและไปเป็นพนักงานขายประกัน ตอนนั้นรุ่งมากเพราะเป็นคนชอบเรียนรู้ ทำให้เจ้านายเอ็นดูจึงสอนเรื่องคอมพิวเตอร์ให้ และเราเป็นคนชอบเรียนรู้จึงเป็นไวมาก พอเจ้านายเห็นเราทำได้จึงให้เราไปเป็นผู้ช่วย

ช่วงนั้นขายประกันก็รุ่งมากถึงขนาดไม่มีเวลาส่วนตัว ไม่มีชีวิตวัยรุ่น ทำแต่งาน หาแต่เงิน ทำให้มีรถยนต์คันแรกของตัวเองตอนอายุ 19 เป็นรถเก๋งมือสองราคา 270,000 บาทที่ใช้เงินสดซื้อ

ขายประกันรายได้ดี เจ้านายก็รักแล้วทำไมถึงเปลี่ยนงาน แถมเอาเงินเดือนเป็นเดิมพัน

คิดว่าตัวเองต้องโตกว่านี้ อยากเป็นผู้จัดการ ก็เลยไปหาข้อมูลว่าต้องทำไง เรารู้สึกว่าเราขายเก่งก็ไปสมัครเป็นตัวแทนขายกระจกกรองแสงจากคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นยังเรียนไม่จบป.ตรี อายุ 23 ปีได้เป็นผู้จัดการ และการันตียอดว่าถ้าหนูขายไม่ได้ 2 ล้านบาทหนูจะไม่เอาเงินเดือน ตอนนั้นคิดว่าต้องทำได้ เดือนแรกขายได้ 4 ล้านบาท ได้ค่าคอม 5 % อยู่ที่นี่ประมาณ 1 ปีกับ2เดือน ส่งเงินให้พ่อกับแม่ทุกเดือน ท่านมีความสุขมากเหมือนเราเป็นเสาหลักให้ครอบครัว พ่อกับแม่ก็ใช้หนี้จนเริ่มหมด

อะไรคือจุดเริ่มต้นทำธุรกิจครีมกันแดด

ปุ๋ยไปเรียนภาษาอังกฤษเห็นครูชาวต่างชาติใช้ อโรเวราเจล เราเลยคิดว่าทำไมถึงใช้เจลแบบนี้มันดูพื้นๆ มาก ว่านหางจระเข้บ้านเรามีเยอะมาก ตอนนั้นไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่แบรนด์ของอเมริกายี่ห้อหนึ่งผลิตออกมาขาย ก็เลยเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากทำครีมว่านหางจระเข้แบบนี้ จึงเริ่มหาข้อมูลว่าจะทำธุรกิจต้องทำไง เปิดบริษัทต้องทำไง โดยการเปิดสมุดหน้าเหลืองว่าจะต้องไปจ้างใคร ตอนนั้นมีเงินทุนอยู่ 300,000 บาท ไปเจอบริษัทหนึ่งชื่อกรีนส์วิลเป็นบริษัทในเครือโอสถสภา

ตอนนั้นอายุ 24 ปี ยังไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทพีโอแคร์ ก็โทรไปที่นั่นบอกว่าจะผลิตอโรเวราเจล ทางนั้นบอกให้ปุ๋ยเขียนสิ่งที่ต้องการคือคุณสมบัติของตัวสินค้าว่ามีอะไรบ้าง อยากได้อะไร แบบไหน ปุ๋ยก็เลยตอบไปว่า เอาอะไรก็ได้ที่เป็นอโรเวราเจลที่ทาผิวหลังจากออกแดดแก้ปวดแสบปวดร้อน เอาของดีมีคุณภาพ เขาก็ถามว่าคุณบริษัทอะไร ปุ๋ยก็บอกว่ายังไม่มีบริษัท แต่ปุ๋ยอยากทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ทำให้ก่อนได้ไหม

เขาเห็นความตั้งใจของปุ๋ย ก็เลยกลับไปพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของปุ๋ย จากนั้นก็เอาไปจดทะเบียนแต่เจอปัญหาอีกคือเงินลงทุน 300,000 บาทไม่พอ จะไปกู้ที่ไหนดี ธนาคารก็ไม่ให้กู้เพราะว่าไม่มีหลักทรัพย์ พวกบัตรเครดิตก็ไม่ได้เพราะว่าเราไม่มีสลิปเงินเดือน เราไม่ได้ทำงาน ปุ๋ยก็เลยโทรไปให้เพื่อนสมัครบัตรเครดิตให้ ได้เงินมา 150,000 บาท จากนั้นเอาเงินไปจ่ายทั้งหมด และได้สินค้าตัวแรกไปขายแต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลย

มุมมองของปุ๋ยคือทำอย่างไรก็ได้ให้ฝรั่งซื้อเพราะเราขายฝรั่งอย่างเดียว กลุ่มเป้าหมายของเราคือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในเมืองไทยทั้งหมด พอสินค้าเสร็จนั่นหมายความว่าเงิน 450,000 บาทเราหายไปเลยเพราะเป็นต้นทุนทั้งหมด ฉะนั้นเราต้องขายให้ได้ ตอนนั้นมีบริษัท มีสินค้า 1 ตัว ภาคภูมิใจมากนะดูทุกวันมีความสุขมากเลย

พอมีสินค้าแล้วเริ่มนำไปขายอย่างไร

ตอนนั้นเราตัวคนเดียวก็เลยนำรถไปเปลี่ยนจากรถเก๋งเป็นรถกระบะเพื่อจะได้บรรทุกของได้ ตั้งแต่นั้นก็ขับรถไปขายเองไม่ได้ทำการตลาดเลย คิดอย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ขายชาวต่างชาติได้ เราเน้นขายที่ร้านขายยาเพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีสมัยตอนทำงาน และเคยไปซื้อยากับเขาบ่อยๆ ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีคนซื้อ แต่เพราะรู้จักเราจึงลองลงสินค้าไว้ฝากขาย ให้เครดิตขายได้เท่าไหร่เก็บเงินเท่านั้นโดยจะลงของไว้ก่อนแล้วค่อยมาเก็บเงินทีหลัง

ตอนนั้นเราไปขายที่ร้านขายยาแถวพัทยา ขับไปทุกร้านทุกซอย ยอมรับว่าเหนื่อยมากพอทำงานเสร็จบางทีลืมทานข้าวกลางวันก็มี ตอนเย็นหมดแรงนอนหลับไปเลยด้วยความเพลียและเหนื่อยมาก เพราะต้องแบกของเองขับรถเอง แถมตากแดดทั้งวัน

ช่วงที่ขายแรกๆ ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นคนโชคดีมากเพราะว่าเวลาไปขายในร้านขายยาเราไปหาเขา เราพูดตามจริงและเราคิดว่าของเราดีที่สุดในโลก เพราะเราบอกบริษัทที่ผลิตว่าต้องเอาให้ดีกว่ายี่ห้อนี้นะ เอาวัตถุดิบที่ดีใช้แล้วเกิดผล ประสิทธิภาพและประสิทธิผลต้องดี ผู้บริโภคต้องปลอดภัย เวลาไปฝากขายก็ให้เภสัชกรช่วยเชียร์สินค้า ต่อมากลายเป็นเทคนิคของเรา หลังจากนั้นเชื่อไหมว่ามีคนถือหลอดเปล่ามาแล้วบอกว่าจะซื้อของเรากลับบ้าน คือมันใช้แล้วได้ผลจริงๆ

เราเลือกยี่ห้อที่ดีที่สุดและต้องดีกว่านี้ ถ้าเรามองย้อนกลับไปถึงโปรดักซ์วันนั้นทำให้เราเรียนรู้ว่าทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้วแตกต่างและดีกว่าแบรนด์ที่เป็นอันดับหนึ่งมันเลยทำให้เราอยู่ได้อย่างยั่งยืนจนถึงทุกวันนี้

จุดพลิกผันที่ทำให้สินค้าขายดีคืออะไรเล่าให้เราฟังหน่อย

มีนักธุรกิจจากเบลเยียมโทรมาติดต่อขอซื้อสินค้าจากเราเพื่อนำไปขายต่อที่ประเทศเขา ซึ่งเราก็ไม่ค่อยมีความรู้จึงให้ทางชิปปิ้งจัดการแล้วค่อยโทรไปบอกทางนั้นว่าคุณต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ เราส่งให้ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็เริ่มส่งออก

เริ่มแรกตอนทำธุรกิจมียอดขายเท่าไหร่

ปีแรกประมาณ 400,000 กว่าบาท ซึ่งตอนนั้นเราภูมิใจมาก และหลังจากนั้นยอดก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันมียอดขายกว่า 300 ล้านบาทต่อปี

เคล็ดลับการบริหารธุรกิจให้เติบโตคืออะไร

“ซื่อสัตย์” ไม่ว่าจะต่อตัวเรา พนักงาน ที่สำคัญคือต่อลูกค้าและคู่ค้าต้องไปด้วยกัน ซื่อสัตย์เป็นผลดีเพราะเราเป็นคนบ้านนอกส่วนใหญ่จะพกพาความซื่อสัตย์มาด้วย แล้วอีกสิ่งหนึ่งคือต้องผลิตสินค้าที่ดีที่สุด ต้องแตกต่างจากคนอื่น เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้ของเรา ลูกค้าต้องได้รับความประทับใจและได้ใช้สินค้าที่ดีที่สุด

เคยมีช่วงชีวิตที่ผิดพลาดหรือท้อบ้างไหม

เคยจะฆ่าตัวตายคิดว่าถ้าเราตายทุกอย่างไม่เป็นภาระใคร เพราะเราทำประกันไว้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหนี้หรือทรัพย์สิน

ชีวิตกำลังไปได้สวย ธุรกิจก็กำลังโต ทำไมถึงคิดแบบนั้น
พอเราโตอย่างก้าวกระโดดทุกอย่างมันเหนื่อย มันหนัก มันรู้สึกว่าล้มเหลว พอสินค้าบางตัวมันเฟลแล้วเราย้ายสถานที่สร้างใหม่เราทำหลายร้อยล้านแล้วก็เปิดโรงงาน เรามีเป้าหมายอย่างพีโอแคร์ ต้องมีตึก ต้องมีโรงงานลักษณะแบบนี้ พอเราทำสำเร็จแล้วหนี้เยอะมาก พอหนี้เยอะแล้วเราชำระไม่ทัน ค่าโฆษณา 30 – 40 ล้าน เจอช่วงวิกฤตการเมือง วิกฤตภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจโลก แล้วก็วิกฤตการเปลี่ยนฐานลูกค้า

ตอนแรกลูกค้าเราเป็นยุโรปและรัสเซีย พอมาเป็นลูกค้าจีนขายไม่ได้ รัสเซียค่าเงินแพง เกิดสงครามจึงไม่นำเข้าครีมเลย ขายไม่ได้ สินค้าเต็มสต็อกเลย
เราก็ไม่รู้จะบอกใคร พอเราช๊อตถ้าอยากได้เงิน 10 ล้าน ญาติเราก็คงช่วยไม่ได้ เพื่อนก็คงไม่มี ก็เลยคิดว่าทำให้ดีที่สุดคือเดินขึ้นไปบนตึกที่สร้างใหม่มันมีชั้นลอย แต่จริงๆ จะเดินขึ้นไปดูข้างบนตึกเฉยๆ เพราะว่าจะทำป้ายโฆษณา

แต่แวบนึงมันคิดว่าตรงนี้เหมาะ เพราะเราเหนื่อย ถ้าหาเงินไม่ได้จะได้ไม่ต้องเป็นภาระใคร ตอนนั้นจิตตกมาก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินลงมานั่งแล้วมองย้อนกลับไปตอนที่เรายังเด็กเห็นแม่ของเราตะเกียกตะกายหาเงินส่งเราเรียนแล้ววันที่เราประสบความสำเร็จมันลำบากมากเลย ปัญหามันแค่นี้เองไม่น่ายาก ทนลำบากอีกหน่อย บอกกับตัวเองว่าถ้าทำ 2 วันนี้ไม่รอดค่อยไปฆ่าตัวตายใหม่

แล้วแก้วิกฤตนั้นอย่างไร

ปุ๋ยก็เรียกการเงินมา เอาลูกหนี้มาดูแล้วก็เอาเจ้าหนี้มาดู เรียกเจ้าหนี้ทุกรายมาแล้วบอกเขาตรงๆ พูดความจริง ตอนนี้ปุ๋ยไม่มีตังค์แต่อีกหนึ่งเดือนมีให้พี่แน่ ขอเลขที่บัญชีไว้แล้วเราจะโอนให้ ซึ่งเราผิดพลาดจากการคำนวณเงินสร้างโรงงานและเครื่องจักร เพราะเราไม่มีความรู้ด้านนี้ ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะใช้เงินประมาณ 6 ล้านบาท แต่พอสร้างเสร็จใช้เงินไปประมาณ 21 ล้านบาท

เราเทหมดหน้าตักเพราะพี่ต้องการโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ความปลอดภัยได้รับมาตรฐานระบบ GMP แต่มันก็ทำให้เราผ่านมาได้โดยที่เราคิดว่าเราต้องอยู่กับความจริง อยู่กับธรรมชาติ ฟังธรรมมะ ซึ่งสามารถเตือนสติเราได้ สร้างเป้าหมายสร้างหวังขึ้นมาใหม่คือต้องทำให้รอด

คิดว่าสิ่งใดที่ทำให้เรามายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ระหว่างโอกาส โชคชะตาหรือความพยายาม

ไม่มีโอกาส โชคชะตาหรือความเฮงที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ได้ มีอย่างเดียวต้องลงมือทำ คิดแล้วต้องทำ ทำทันที ถ้าเราทำแล้วล้มเหลวเราก็ต้องลุกให้เร็ว ถ้าไม่สำเร็จเราไม่เลิกทำ มันเหมือนกับว่าเราทำในสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ มันก็ทำให้เราไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือว่าเหน็ดเหนื่อยก็จริงแต่เหน็ดเหนื่อยแบบมีความสุข

จากเด็กบ้านนอกเงินไม่พอใช้ กลายเป็นคนที่มีพร้อมทุกอย่าง การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปบ้างไหม

ใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่ไม่หรูหรา ที่มันไม่เหมือนเดิมเพราะว่าภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นเหนื่อยเยอะขึ้น แต่เวลาเราเดินเข้าไปในบริษัท เดินเข้าไปในโรงงาน เราจะมีความสุขทุกครั้ง พนักงานเราร้อยกว่าคนนะ เราจะดูแลอย่างไรให้พวกเขามีความสุข อยากให้โรงงานเป็นบ้านหลังที่สองของพนักงานให้เขาอยู่อย่างมีความสุขมากที่สุด

นอกจากนี้ชีวิตที่แตกต่างไปคือจากเมื่อก่อนเราไม่มีเวลาคิดว่าจะไปไหนกินอะไร แต่ตอนนี้เราสามารถทำได้เพราะเราเริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น ใช้ชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น มีตารางวันหยุดเป็นของตัวเอง

ขอข้อคิดหรือเคล็ดลับดีๆให้กับคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจและประสบความสำเร็จแบบคุณ

ถ้าอยากเริ่มต้นทำธุรกิจ อยากประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งหรือว่าฉลาดหรือจะต้องรอบรู้ทุกด้าน แต่มีอย่างเดียวคือ ต้องรู้ตัวเองว่ารักอะไรชอบอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร มีเป้าหมายของตัวเอง ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง เราก็จะไม่ทิ้ง แล้วมันจะทำให้เรามีความเพียรพยายาม แล้วเวลาเราสำเร็จอย่างที่เราคิดไว้มันก็ทำให้เราภาคภูมิใจ “ต้องรักในสิ่งที่เราทำ ต้องทำในสิ่งที่เรารัก”

หากคุณกำลังมองหาแนวคิด แรงผลักดันของชีวิตและเคล็ดลับไปสู่ความสำเร็จ ชีวิตของผู้หญิงคนนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่จะทำให้คุณรู้ว่าคนเราไม่ว่าจะเกิดมาในรูปแบบไหนมีฐานะอะไร คุณก็สามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ ขอเพียงแค่คุณมีความพยามยามและไม่ยอมแพ้ พร้อมที่จะลุกทุกครั้งที่ล้ม สู้ทุกครั้งที่ท้อ คุณก็จะก้าวไปยืนอยู่ในจุดที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook