จิตรลดา ทรัพย์สุข ฉันจะไม่ตายเพราะมะเร็ง

จิตรลดา ทรัพย์สุข ฉันจะไม่ตายเพราะมะเร็ง

จิตรลดา ทรัพย์สุข ฉันจะไม่ตายเพราะมะเร็ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรารู้จักผู้หญิงคนนี้ จี๋ จิตรลดา ทรัพย์สุข จากโฆษณาประกันโรคร้ายของบริษัทหนึ่งทางหน้าจอทีวี ภาพของผู้หญิงสวยสดใสแต่ไม่มีผมที่เดินอย่างมั่นใจท่ามกลางผู้คน และบอกคนดูตั้งแต่ต้นว่า “ฉันเป็นมะเร็ง” ทำให้หลายคนอยากรู้จักเธอมากขึ้น รวมทั้งเราด้วย

ผู้หญิงวัย 30 กว่าๆ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาตลอดอย่างคุณจี๋ คำว่ามะเร็งไม่เคยอยู่ในความคิด แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดความผิดปกติขึ้นในร่างกาย เริ่มจากอาการคันที่ไม่ทราบสาเหตุ ตามมาด้วยอาการไอจนเหนื่อยหอบ เมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปี ผลปรากฏว่า เธอเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

นับตั้งแต่รู้ว่าเป็นมะเร็ง คุณจี๋บอกตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันมีคุณค่ากับใครหลายคนบนโลกใบนี้ “ฉันตายไม่ได้” ช่วงเวลานี้เป็นบททดสอบหนึ่งของชีวิตที่ฉันจะต้องผ่านมันไปให้ได้

ซึ่งเธอเลือกที่จะอยู่กับบททดสอบของชีวิตด้วยรอยยิ้ม แม้ร่างกายจะถูกมะเร็งทำร้าย แต่หัวใจของผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมให้มะเร็งทำร้าย และในที่สุดหลังผ่านการรักษาด้วยเคมีบำบัด 8 ครั้ง ฉายรังสีอีก 23 ครั้ง เธอก็สามารถผ่านบททดสอบอันแสนสาหัสนั้นสำเร็จ

เริ่มพบว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่ปีไหนคะ
เดือนพฤษภาคม 2557 แล้วก็เข้าสู่กระบวนการรักษาเกือบปี

เป็นช่วงเวลาเกือบปีที่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
ที่สุดแล้ว บางอย่างที่ไม่เคยคิดอยู่ในหัวเลย มันก็เหมือนมาสอนเราเอง มันมาเตือนเราแล้ว จากเมื่อก่อนคิดว่ามะเร็งอยู่ไกลตัวมาก เราอายุเท่านี้ สุขภาพแข็งแรงดีทุกอย่างปกติหมดเลย แต่วันหนึ่งไปเช็ก หมอบอกคุณเป็นมะเร็ง เฮ้ย มันเป็นไปได้ยังไง ที่บ้านเราก็ไม่มีใครเป็นมะเร็ง หลังจากวันนั้น ช่วงที่ให้ยา เรามีเวลาคิดอยู่กับตัวเอง ทำให้รู้เลยว่า ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอะไรไปบ้าง ทำไมร่างกายถึงมาเตือนเราว่า เราผิดแล้ว และเหมือนที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไป มากกว่าชีวิตของเรา

ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งมีตั้งคำถามไหมว่า ทำไมต้องเกิดกับฉัน
มีค่ะ คำถามนี้ไม่ได้มาช่วงแรก ๆ ที่เป็น แต่จะมาในช่วงที่กำลังรักษาอยู่ ช่วงที่อยู่กับตัวเองเยอะ ๆ ก็จะแวบเข้ามาว่าทำไมต้องเป็นเรา แล้วจี๋ถามคุณหมอด้วยว่า ทำไมหนูเป็นมะเร็ง หมอบอกว่า จะไปรู้เธอหรือ (หัวเราะ) คือหมอก็ยังตอบไม่ได้ว่าสาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดจากอะไร ในเมื่อวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ ก็คงจะเป็น ดวง ความซวยหรือเวรกรรม เราเลยคิดว่านั่นน่ะสิ ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ ไม่คิดแล้ว ช่างมัน ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำยังไงก็ได้ให้หายดีกว่า มีนะบางคนที่ถามตัวเองว่าทำไมต้องเป็นฉันแล้วจมอยู่กับความรู้สึกนั้น คุณหาคำตอบได้ไหม...ไม่ได้ จะไปคิดทำไมล่ะ คิดไม่ออกก็ช่างมัน

ในโฆษณาประกันชีวิตที่สะดุดตาคนดูอย่างเรามากที่สุด คือคนที่แสดงแทนคุณจี๋โกนหัวหมด ใส่แว่นตาดำ ทาปากสีสด
การที่เราอยู่บ้าน นั่งดู IG ฝรั่ง เราได้คุยกับเขา ทำไมฝรั่งหัวโล้นแต่งหน้าออกไปข้างนอกได้ ดูเก๋ดี จนรู้สึกว่าเราไม่อยากใส่วิกแล้ว ก็คิดในใจนะ จะมีสักกี่คนที่กล้าโกนผม ลองดูสิ ไปทะเลไม่ต้องใส่วิก ก็มีคนหันมามองบ้าง ยายชีหนีวัดมาหรือเปล่า เราก็เฉยๆ ไม่สนใจ พอทำไปแล้วครั้งหนึ่งเริ่มเห็นว่าไม่เป็นไรนี่หว่า ก็ทำได้หนิ เราก็คิดว่าทำไมล่ะกะอีแค่คนมอง เขาก็ไม่รู้จักเรา สิ่งที่เราแบกเอาไว้ว่า ถ้าฉันไม่มีผมนะ คนจะต้องซุบซิบ คิดไปเองว่าเขาจะต้องสงสัยเราแน่ว่าเป็นอะไร แต่พอวันหนึ่งเราปล่อยออกไป แล้วไงล่ะ แม่ชีไม่มีผมยังเดินไปไหนมาไหนได้ พระก็ไม่มีผม ประกอบกับการรักษาดีขึ้นด้วย ก็โอเคถึงเวลาที่เป็นธรรมชาติของเรา อยากแต่งตัวยังไงก็แต่ง มีบ้างที่ใส่วิกขึ้นอยู่กับสถานที่ จะโล้นทีเดียวเดินไปไหนก็ใช่ว่า

นอกจากตัวเองแล้วพลังใจที่สำคัญคือมาจากคนในครอบครัว
ใช่ค่ะ หลัก ๆ คือคนที่บ้าน คุณแม่ สามี และมีแรงใจจากเพื่อน ๆ แค่กำลังใจจากเพื่อนเราก็รู้สึกอิ่มเอมมาก แต่ช่วงที่เราลงเรื่องในเฟซบุ๊คแล้วมีคนที่ไม่รู้จักคอมเม้นต์เป็น 6-7 พันคอมเม้นต์ ขอให้คุณจี๋หายนะ ขอให้พระคุ้มครอง เขาทำบุญ ตักบาตรทุกวัน ขอให้คุณจี๋หมดเลย ถามว่าเราจะทำอะไรให้คนเหล่านี้ได้เพราะเราไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำได้ คือแบ่งปันความรู้เรื่องเกี่ยวกับมะเร็งที่เราเป็นที่เรามีความรู้เรื่องนี้ และเป็นโชคดีที่สื่อหลาย ๆ สื่อเอาเรื่องเราไปกระจาย อิ่มเอมมาก เหมือนได้ทำบุญกับใครหลายคนโดยที่ไม่รู้จัก ไปเชียร์คนที่ป่วยหลาย ๆ คนให้สู้

การแบ่งปันข้อมูลแบ่งปันความรู้สึกในลักษณะของชุมชนคนที่เจอปัญหาเดียวกัน แม้จะผ่านทางโซเชี่ยลมีเดียทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
ใช่เลย เป็นการให้กำลังใจกัน เพราะอย่างถ้าเกิดบอกว่าเป็นมะเร็ง คนทั่วไปก็จะรู้แต่ว่าเป็นมะเร็งต้องตายแน่ เพราะข่าวออกมา คนนั้นเสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็ง คนนี้เสียชีวิตเพราะเป็นมะเร็ง ไม่มีใครบอกเลยว่า ฉันหายจากการเป็นมะเร็งแล้วมาคุยกัน เห็นไหมฉันยังหายเลย คุณก็ต้องหายสิ บางครั้งการที่เราจะเข้าไปปรึกษาหมอว่าเรามีอาการอย่างนี้ หมอบางทีก็ยุ่ง อาจไม่มีเวลาให้เราปรึกษาเยอะก็คุยกันเองในกลุ่มคนที่เป็นได้

อ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ในคอลัมน์เปิดใจสนทนา ฉบับที่ 1063 ปักษ์แรกมีนาคม 2559

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook