Binko อาร์ติสต์สาวสวย อยากพ้นจากคำว่า "เน็ตไอดอล"

Binko อาร์ติสต์สาวสวย อยากพ้นจากคำว่า "เน็ตไอดอล"

Binko อาร์ติสต์สาวสวย อยากพ้นจากคำว่า "เน็ตไอดอล"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในสังคมที่คนมากมายอยากมีคำว่า "เน็ตไอดอล" ต่อท้ายหรือนำหน้าชื่อ แต่สาวสวยวัย 20 ปีคนนี้กลับบอกว่า "อยากเอาคำนี้ออกไปจากตัวเรา" อีกทั้งปฏิเสธคำชวนเข้าวงการบันเทิงอย่างไม่เสียดาย เพราะเหตุผลว่า "ไม่อยากทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง"

"บิ๊ง-ภาพฟ้า พุทธรักษา" ภาพที่มองเห็นได้คือ เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดี แต่งตัวมีสไตล์ ผู้คนไม่น้อยในโลกออนไลน์รู้จักเธอในชื่อ "Binko" มียอดฟอลโลเวอร์ในอินสตาแกรมอยู่เกือบ 5 แสน และถูกจัดอยู่ในกลุ่มเน็ตไอดอลมาแล้วหลายปี

ลึกลงไปอีกนิด บิ๊งเป็นคนที่ใช้ฝีมือการวาดรูปหาเงินตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เธอเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้า Binko"s ที่เธอออกแบบเอง รับทำงานวาดภาพประกอบ และทำงานสตรีตอาร์ตบ้างเป็นครั้งคราว

ภาพที่เธอวาดไม่ว่าจะปรากฏอยู่ที่ไหน ก็มีสิ่งบอกว่านี่คือ Binko นั่นก็คือใบหน้าผู้หญิงที่ละม้ายตัวเธอเอง วาดด้วยลายเส้นเข้ม ๆ ใช้สีโทนดาร์กๆ ในสไตล์เธอ

ด้วยความตั้งใจระดับยอมแลกอนาคตเพื่อให้ได้ทำงานศิลปะ บิ๊งจึงอยากให้คนรู้จักและจดจำเธอในบทบาทคนทำงานศิลปะที่รักศิลปะจริง ๆไม่ใช่แค่เน็ตไอดอลที่เธอไม่รู้ว่าความหมายของมันคืออะไร

"บิ๊งไม่รู้ว่ามุมมองของบิ๊งมันลบหรือเปล่าแต่บิ๊งรู้สึกว่าคำว่าเน็ตไอดอลภาพลักษณ์มันไปทางลบทำอะไรก็ได้เพื่อยอดไลก์ แต่บิ๊งไม่ใช่อย่างนั้น บิ๊งไม่ต้องการให้ใครมาไลก์มากมาย แต่อยากให้คนชอบสิ่งที่เราเป็นจริงๆ"

นี่แค่ส่วนหนึ่งที่บิ๊งพูดถึงประเด็นเน็ตไอดอลที่ครอบเธออยู่ แต่ยังมีความอึดอัดใจอีกมากมายที่เธอระบายออกมา แต่เราควรไปทำความรู้จักเธอให้มากกว่านี้ เพื่อจะได้เข้าใจว่าทำไมเธอไม่ยินดีกับการเป็นเน็ตไอดอล

บิ๊งเกิดมาในครอบครัวศิลปิน พ่อ แม่ ตา ยาย เรียนจบศิลปากรมาหมด แต่ไม่ได้ถูกปลูกฝังมาว่าจะต้องเป็นศิลปิน เธอเป็นเด็กเรียนดี ไม่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะติดตัวมา แต่รู้สึกว่าอยากวาดรูปมากๆ พอเรียนจบ ม.4 รู้สึกว่าไม่อยากเรียนวิชาการอะไรอีกแล้ว จึงขอแม่ลาออกจากโรงเรียนเพื่อจะไปเรียนศิลปะ ซึ่งแม่ไม่โอเค แต่บิ๊งก็ยืนยันความตั้งใจและไปลาออกเองแล้วพยายามคุยให้ที่บ้านยอมรับการตัดสินใจของเธอด้วยการทำข้อตกลงว่าจะสอบเทียบให้ได้วุฒิม.ปลายและจะไม่ขอเงินพ่อแม่ใช้อีกเลย

นั่นคือจุดเริ่มต้นความยากลำบากและความสนุกในชีวิตเด็กสาววัย16

"บิ๊งสตาร์ตที่เงิน 600 บาท ซื้อสีกับเคสโทรศัพท์เปล่าไม่กี่ชิ้นมาวาดรูปขายในไอจี ตอนนั้นคนติดตามยังไม่มาก บิ๊งเป็นกลุ่มแรกๆ ที่วาดเคสมือถือตามที่ลูกค้าต้องการ เหนื่อยมาก ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรนอกจากวาดเคสโทรศัพท์ ทำอยู่ 3 ปีค่อยขยับมาทำกระเป๋าผ้า และเพิ่มสินค้าอย่างอื่น แล้วก็มีงานออกแบบแพ็กเกจจิ้งสินค้าและวาดภาพประกอบ"

การออกจากโรงเรียนของบิ๊ง ไม่ใช่การหันหลังให้การเรียนรู้ แต่เป็นการหันหลังให้สิ่งที่ไม่อยากรู้เพื่อจะได้ทุ่มเทกับสิ่งที่อยากรู้ เธอสอบเทียบได้วุฒิ ม.ปลายหลักสูตรนานาชาติตามที่ตกลงกับแม่ไว้ และเมื่อเก็บเงินได้พอสมควรจึงไปเรียนที่สถาบัน Design International Institute ซึ่งเป็นสายตรงที่สอนการลงมือปฏิบัติจริง

บิ๊งบอกว่า "ตอนแรกๆ รายได้ไม่พอสำหรับการดูแลตัวเอง แต่ถ้ากลับไปขอเงินแม่ใช้ สิ่งที่ตกลงไว้จะเป็นศูนย์ แล้วต้องกลับไปเรียน จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ หาได้น้อยแค่ไหนก็ต้องใช้ให้น้อย ไม่ออกจากบ้านเลย กินข้าวที่บ้าน แต่มีช่วงที่พ่อแม่ออกไปทำงาน เราต้องซื้อของเข้าบ้านเอง ทำกับข้าวเอง"

ทำไปเรื่อยๆ เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงได้ทำงานใหญ่ขึ้น เธอได้วาดสติ๊กเกอร์ไลน์ให้กับนักร้องสาวสุดติสต์อย่างปาล์มมี่ ได้ร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่อย่างโค้ก แสงโสม iStudio และลูกอม tic tac

พอมีชื่อเสียงขึ้นมา หลายงานที่เข้ามานอกจากจะต้องการผลงานของเธอแล้ว ยังต้องการใช้ชื่อ Binko ในการโปรโมตสินค้าและอีเวนต์ด้วย และก็มีหลายงานที่ไม่ต้องการผลงานเลย แค่ต้องการให้โปรโมตสินค้าในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเธอก็ทั้งรับบ้างปฏิเสธบ้าง

"บิ๊งเป็นคนค่อนข้างเลือกงาน ไม่ได้ถือว่าตัวเองดังแล้วเลือก แต่บิ๊งไม่อยากบอกว่าทุกอย่างดีไปหมดโดยที่เราไม่ได้ใช้ ซึ่งมันมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเรา มีงานที่บิ๊งภูมิใจมากคืองานของโค้ก เขาบอกว่าที่เลือกบิ๊งเพราะบิ๊งไม่เคยรีวิวครีม มันทำให้น่าเชื่อถือ"

บิ๊งย้อนมองเส้นทางของตัวเองแล้วบอกว่า "จุดที่มีชื่อเสียงมีแบรนด์ติดต่อเข้ามาน่าจะเมื่อปีที่แล้ว"

แล้วเข้าประเด็นเน็ตไอดอลอีกครั้ง

"ที่ผ่านมาคนเขาไม่ได้ติดตามที่งานเราอย่างเดียวส่วนหนึ่งมาจากการติดตามไลฟ์สไตล์เป็นการผสมผสาน คือความเป็นเน็ตไอดอลอย่างที่เขาเรียกกัน แต่บิ๊งไม่รู้ว่าเน็ตไอดอลคืออะไร ถ้าความหมายมันคือการมีคนฟอลโลว์เยอะ โอเค บิ๊งก็ใช่ แต่ว่าบิ๊งไม่รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นอย่างนั้น บิ๊งคิดว่าเราต้องทำอะไรได้มากกว่านั้น ไม่ต้องยกตำแหน่ง ไม่ต้องใส่คำจำกัดความให้เราก็ได้ แต่เราอยากจะทำให้ได้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานศิลปะ

เราได้งานเพราะยอดฟอลโลว์ก็ใช่ มันมีส่วนเพราะการพี.อาร์.ก็สำคัญกับสินค้า ตอนแรกบิ๊งก็คิดว่าเรามีค่าแค่นั้นหรือ เป็นแค่เครื่องมือการตลาดหรือ แต่คิดอยู่แป๊บเดียว แล้วคิดได้ว่าถ้าเรายังนอยด์อยู่อย่างนี้ โดยไม่พยายามปรับอะไรให้ดีขึ้น เราก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด บิ๊งก็เลยมาคิดว่าเขามองเราอย่างนี้เพราะอะไร งานบิ๊งอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับคนอื่น บิ๊งจะทำยังไงให้พัฒนา บิ๊งก็ต้องวาดมากขึ้น เอาเวลาที่จะใช้พักผ่อนเที่ยวเล่นมาวาดรูป แต่ก็ไม่ฝืนตัวเองนะคะ มีความสุขที่ได้ทำ

บิ๊งเคยนอยด์จากเสียงคอมเมนต์ที่ว่า คนอย่างบิ๊งถ้าไม่มีคนฟอลโลว์เยอะ บิ๊งก็ไม่ใช่อาร์ติสต์หรอก ก็เป็นแค่ใครไม่รู้ เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดา เป็นเซเลบโซเชียล มันทำให้บิ๊งเครียด บิ๊งคิดทุกวันจนไม่อยากทำงาน เพราะไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ได้แค่นี้อยู่ดี ก็เน็ตไอดอลอ่ะ คนเขาดูถูกว่าไม่มีอะไรเลย เริ่มต้นก็ดังแล้ว ทำอะไรก็ดังไปหมด แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังเราเหนื่อยและตั้งใจขนาดไหน จนบิ๊งคิดได้ว่า ถ้าคิดอย่างนี้ต่อก็มีแต่เราที่นอยด์ คนที่ว่าเราเขาก็ไม่มารู้หรอกว่าเราคิดยังไง ทำอะไรที่เราสบายใจดีกว่า จากนั้นก็ไม่ค่อยได้แคร์ว่าใครจะเรียกว่าเน็ตไอดอล แต่เราก็อยากเอาคำนี้ออกไปจากตัวเรา"

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มองการเป็นคนดังในโซเชียลมีเดียไปในทางลบทั้งหมด

"ถามว่าดีไหมที่มีคนมาติดตามเรา ถ้าเขาได้ประโยชน์อะไรจากการติดตามเรา จากเรื่องที่เราเล่าออกไปมันก็ดี บิ๊งว่าบิ๊งเป็นคนให้บทเรียนที่ดีได้ ความผิดพลาดของบิ๊งมันสามารถช่วยคนอื่นได้ ความผิดพลาดหมายถึงการเลือกทางเดินชีวิต การออกจากโรงเรียน มันทำให้บิ๊งมาถึงวันนี้ก็จริง แต่ในแง่หนึ่งมันก็เป็นความผิดพลาด คือเราหมดสิทธิ์สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรที่เราอยากเข้า และมันเหนื่อยมาก คล้าย ๆ กินศักดิ์ศรี ถ้าเราไม่ทำต่อให้สำเร็จ เราก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่โตไปเรื่อย ๆถ้าใครเลือกแบบบิ๊งบิ๊งกลัวว่าจะถอดใจก่อน เพราะมันเหนื่อยมาก บิ๊งเองก็เกือบจะถอดใจไป"

ผ่านจุดที่เหนื่อยยากมาถึงวันนี้ได้ สาวคนนี้บอกว่าภูมิใจในตัวเองมาก เธอทำงานเก็บเงินมาจนสามารถซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทได้ ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับคนที่ทำอาชีพอิสระ

"บิ๊งวาดรูปไม่เป็น แต่บิ๊งชอบมันมากๆ บิ๊งไม่เก่งพอที่จะทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน บิ๊งก็เลยเลือกทางใดทางหนึ่ง บิ๊งเลือกทางนี้โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่บิ๊งตั้งเป้าไว้และคิดว่าสักวันมันจะต้องสำเร็จ

ตอนนี้บิ๊งพอใจที่บิ๊งเริ่มได้ดีโดยที่ไม่ท้อไปก่อนบิ๊งอยากทำงานให้ดีพอในระดับที่ตัวเองคิดว่าดีแล้วค่อยส่งต่องานออกไปให้คนอื่น อยากส่งออกไปนอกประเทศด้วย ปีที่แล้วบิ๊งได้รับรางวัล Lifestyle Influencer ที่สิงคโปร์ พอกลับมาคิดว่ามันเริ่มไกลกว่าที่เราคิดไว้ มีคนสิงคโปร์รู้จักและมาตามงานเรา

คนทำงานศิลปะถ้าอยากประสบความสำเร็จ มันไม่ควรอยู่เฉย ๆ รอให้งานเข้ามาหา เราต้องวิ่งไปนู่นไปนี่บ้าง สำหรับบิ๊งบิ๊งมีแพลนให้ตัวเอง สมมุติว่าปีนี้บิ๊งอยากทำงานกับแบรนด์นี้ บิ๊งก็จะเก็บพอร์ตทำอะไรที่คิดว่าดีพอจะไปเสนอเขา บิ๊งคิดว่าถ้าทำงานอย่างนี้ได้โดยไม่รู้สึกเบื่อมัน ก็สามารถทำไปได้ตลอดชีวิต หลังจากนี้ ถ้ามีคลื่นลูกใหม่ขึ้นมา บิ๊งว่าไม่เป็นปัญหา เพราะไม่มีใครเหมือนใครร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงบิ๊งไม่มีงานเยอะอย่างตอนนี้ บิ๊งก็ยังจะทำแบรนด์ของตัวเองต่อไป"

Binko สาวผู้มุ่งมั่นในการวาดรูป ฉายความคิดของเธอไล่ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งแพลนอนาคตให้เราฟังเป็นการส่งท้ายด้วยรอยยิ้ม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook