Love Game & Life Game 10 ประเด็นถามตอบเกี่ยวกับเกมชีวิตที่ แคทรียา อิงลิช ต้องพบเจอ

Love Game & Life Game 10 ประเด็นถามตอบเกี่ยวกับเกมชีวิตที่ แคทรียา อิงลิช ต้องพบเจอ

Love Game & Life Game 10 ประเด็นถามตอบเกี่ยวกับเกมชีวิตที่ แคทรียา อิงลิช ต้องพบเจอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

1. สมมุติว่าถ้าเปรียบวงการบันเทิงเหมือนเกมๆ หนึ่ง ทำไมคุณถึงเลือกที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในเกมนี้

แคทรียา : มีใจรักที่จะเข้ามาในวงการบันเทิงอยู่แล้ว เป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้คาดหวัง หมายความว่าถ้าได้เข้าวงการฯ ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้เข้ามาก็ไม่เป็นไร

2. คุณต้องฝ่าฟันแค่ไหนกว่าจะเข้ามาเฉิดฉายในวงการนี้ได้

แคทรียา : วงการบันเทิงสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกันมากๆ สมัยก่อนกว่าจะได้ทำงานในวงการนี้ยากมาก แปลว่าคุณต้องเจ๋งจริงถึงจะเข้ามาได้ ในยุคก่อนคือคุณต้องมีความอดทนสูง ต้องทำงานหนัก ทำให้รู้สึกศรัทธาว่านี่คืออาชีพอาชีพหนึ่ง สมัยนี้มีความรู้สึกว่าวงการบันเทิงมีทางลัดให้เข้าง่าย จนบางคนไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้รับมา

3. จุดเปลี่ยนด่านสำคัญในวงการบันเทิง ใช่ตอนที่คุณหันมาเป็นศิลปินหรือไม่

แคทรียา : น่าจะใช่ พอเราเป็นนักแสดงนานๆ เข้า จะถูกหลายคนตั้งคำถามว่า ความสามารถเรามีแค่นี้หรือเปล่า พอจะมาเป็นนักร้อง คนก็จับตามองว่าจะทำได้สักแค่ไหน เพราะสมัยก่อนเวลาดารามาเป็นนักร้อง คนจะตีความไปก่อนแล้วว่าร้องเพลงไม่เก่ง ซึ่งเราก็ดีใจที่สามารถลบล้างคำสบประมาทนี้ได้ โดยที่ทีมงานก็ช่วยเป็นแบ็คอัพให้เราได้ดีมาก ดังนั้นเราเลยไม่ใช่ดาราที่มาเป็นนักร้องแล้วทำได้ไม่ถึงขั้น แต่เราทำได้ เต้นจริง ร้องจริง ใช้ความสามารถจริงๆ เราจะทำให้คนได้เห็นความสามารถในสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นในตัวเรา อีกอย่างคือ การเป็นนักร้องคือหนึ่งในความฝันของเราด้วย ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด

4. คำจำกัดความของอาชีพ 'นักแสดง' ในทัศนคติของคุณ คืออะไร

แคทรียา : คุณต้องเข้าถึงบทบาทที่ได้รับให้ได้ แล้วถ่ายทอดให้ผู้ชมเชื่อในบทบาทนั้น

เราเคยได้ยินนะ ที่นักแสดงรุ่นใหม่บอกว่า "อ๋อ! พอดีอารมณ์นี้หนูไม่เคยเจอค่ะ ชีวิตจริงไม่เคยเป็นแบบนี้ค่ะ" (มองบน กลอกตาไปมา) อ๋อ! แสดงว่าตอนที่เราเล่นละครเรื่อง ดวงตาสวรรค์ (ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อปี พ.ศ. 2554) โดนสิบล้อทับ เราจะต้องออกไปโดนสิบล้อทับจริงๆ ใช่ไหม ถึงจะสัมผัสและเข้าใจความรู้สึกนั้นจริงๆ (เน้นเสียง) คือคำพูดจำพวกนี้ไม่ควรออกจากปากนักแสดงเลย ชีวิตจริงของคุณอาจจะเลอเลิศ แต่ถ้าในละครคุณต้องเป็นเด็กสลัม หน้าที่ของคุณก็คือการแสดงเป็นเด็กสลัมให้ได้

5. อยากเล่นเกมอะไรต่ออีกไหมในวงการบันเทิง

แคทรียา : งานในวงการบันเทิงก็ลองทำมาหมดแล้ว เรามีความรู้สึกว่า ช่วงเวลาของชีวิตในวงการฯ มันหลากหลาย มันลื่นไหลกับตัวเราไปได้เรื่อยๆ เป็นลำดับขั้นตอน ค่อยๆ ผ่านไปทีละด่าน เคยคิดเหมือนกันนะว่าจะเป็นผู้จัด อีกอารมณ์หนึ่ง ก็อยากจะเป็นแอ็คติ้งโค้ชให้กองถ่าย บางทีเห็นน้องๆ แสดงแล้วรู้สึกว่า ถ้าดัดได้อีกนิดจะไปได้สวยมาก อยากให้คำแนะนำ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ไง ก็เลยไม่กล้าพูด

6. ทำไมถึงคิดแบบนั้น คุณก็เป็นนักแสดงมืออาชีพในวงการ เขาอาจจะฟังคุณก็ได้

แคทรียา :  แต่กลับกันอาจจะไม่ฟังนะ  เขาจะเลือกฟังเฉพาะแอคติ้งโค้ช ซึ่งมีหน้าที่ในการสอนการแสดงโดยตรง

7. ถ้าเล่นเกมชนะ ก็จะได้รางวัล คุณเองก็ได้รางวัลจากวงการบันเทิงมามากมาย ถามจริงๆ ว่ารางวัลสำคัญกับคุณมากแค่ไหน

แคทรียา : ไม่ได้หวัง แต่พอได้มาก็เป็นกำลังใจที่ดี ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำลงไปมีคนเห็นคุณค่า ส่วนใหญ่รางวัลที่ได้รับจะเป็นรางวัลเกี่ยวกับกิจกรรมเพื่อสังคมทั้งนั้นเลย ก็โอเคนะ แสดงว่าเราใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของเราในทางที่ถูกต้องแล้ว

8. ผลงานล่าสุดของคุณ คือการรับบทนำในละครเวที Love Game The Musical ด้วยคาแร็กเตอร์ของ 'น้ำผึ้ง' ซึ่งเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ต้องเผชิญหน้ากับชีวิตช่วงขาลง ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นบ้าง จะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร

แคทรียา : วงการบันเทิงไม่ได้มีแต่กราฟที่พุ่งขึ้นอย่างเดียว มันมีขาขึ้นขาลงมาโดยตลอด เป็นธรรมดาของชีวิต เราก็แค่มองมันอย่างเข้าใจ ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับน้ำผึ้ง ก็จะคิดทำอะไรใหม่ๆ ที่ตัวเองไม่เคยทำ เพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นความแปลกใหม่จากตัวเรา เพราะถ้าเราเสนอแต่สิ่งเดิมๆ ผู้ชมก็เบื่อ ตัวเราเองก็เบื่อ เหมือนตอนที่เราโหนผ้า ไม่เคยมีศิลปินคนไหนที่โหนผ้าโชว์มาก่อน นั่นคือขั้นตอนการพัฒนาตัวเองของเรา

9. สำหรับ Love Game ในชีวิตของคุณ คุณใช้ชีวิตอยู่ในวังวนแห่งความรัก ทั้งเพลงรัก ละครรัก รวมถึงชีวิตจริงของคุณก็ผ่านความรักมาหลากรสหลายรูปแบบ คิดว่าได้เรียนรู้ในเรื่องของความรักอย่างไรบ้าง

แคทรียา : งานเพลง และงานแสดง ทำให้เห็นความรักในมุมที่หลากหลายมากกว่า แต่ที่เราได้เรียนรู้จริงๆ จะเป็นจากประสบการณ์ตรงของเราเอง ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจก็คือ เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใครได้ แต่เราปรับจูนเข้าหากันได้ รวมถึงต้องดูด้วยว่า อีกฝ่ายหนึ่งจะปรับตัวเข้าหาเราด้วยหรือเปล่า ถ้าจูนกันไม่ติดเสียที ก็ต้องเลิกรากันไป พอเรียนรู้มากๆ มันก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ

10. จากประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มา โดยเฉพาะเรื่องความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิต ทำให้คุณรัดกุมกับการวางแผนชีวิตให้กับอนาคตตัวเองอย่างไรบ้าง

แคทรียา : จากประสบการณ์ชีวิตของเรา ได้เรียนรู้มาว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน พรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ใครจะไปรู้ ถ้าเราวาดฝันอะไรไว้ไกลๆ ไม่แน่เราอาจจะไม่มีชีวิต ถึงตอนนั้นก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องคุณพ่อ เป็นบทเรียนชีวิต ที่ทำให้เราได้คิดอะไรเยอะมาก เคยคิดว่าคุณพ่อจะอยู่ได้อีกยาว ขนาดคุณปู่คุณย่ายังอยู่ได้ถึงอายุ 80 กว่าๆ เลย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งสมอง เสียชีวิตภายในระยะเวลาปีครึ่งเท่านั้นเอง เร็วมาก ดังนั้นเราจะไม่มองอนาคตตัวเองในระยะไกล แต่จะมองชีวิตตามความเป็นจริง แล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุด จะทำทุกอย่างที่จะทำให้เราไม่ต้องมานั่งรำพึงรำพันกับตัวเองว่า เสียดายที่ไม่ได้ทำ อยากให้อะไรกับใครก็จะให้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมานั่งโทษตัวเองว่าเสียดายที่ไม่ได้ให้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook