ธรรมะจัดสรรในวันทุกข์ใจ อุ้ย – รวิวรรณ จินดา (1)

ธรรมะจัดสรรในวันทุกข์ใจ อุ้ย – รวิวรรณ จินดา (1)

ธรรมะจัดสรรในวันทุกข์ใจ อุ้ย – รวิวรรณ จินดา (1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากใครติดตามวงการเพลงไทยมาตลอด คงรู้จัก อุ้ย – รวิวรรณ จินดา นักร้องสาวร่างเล็กเสียงดี เจ้าของเพลง พี่ชายที่แสนดี ที่โด่งดังและเป็นที่จดจำจนถึงปัจจุบัน บนเส้นทางสายดนตรี เราต่างคุ้นชิน กับภาพการเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จ

แต่ในชีวิตจริงแล้วเธอผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ ผิดหวังหลายครั้ง จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ “ธรรมะจัดสรร” ให้เธอได้พบครูบาอาจารย์ ที่สอนการปฏิบัติธรรมอันนำมาซึ่งความสุข ที่แท้จริงในชีวิต ความตั้งใจของเธอในเวลานี้คือ การถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตให้เป็นบทเรียนแก่ทุกคนว่า อย่ารอให้ถึงวันที่ทุกข์ที่สุด แล้วจึงมองหาธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ ดังเช่นชีวิตที่ผ่านมาของเธอ

เด็กหญิงผู้รักการร้องเพลง

วัยเด็กของอุ้ยเติบโตจากการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดของคุณยาย เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ทำงานด้วยกันทั้งคู่จึงพาอุ้ยและน้องชายไปฝากท่านเลี้ยงที่โคราช ที่บ้านคุณยายมีลูกพี่ลูกน้องผู้ชายอีกสามคนที่โตมาด้วยกัน ชีวิตวัยนี้จึงเล่นสนุกตามพี่น้องผู้ชายมาตลอด ตอนเรียนชั้นประถมอุ้ยคงมีท่าทางว่าชอบแสดงและร้องเพลง ครูวิชาดนตรีและวิชาภาษาอังกฤษจึงเรียกให้ไปร้องเพลงหน้าห้องเสมอ และพอถึงงานโรงเรียนทีไร ครูจะมาขอคุณยายให้อุ้ยไปร่วมการแสดง แต่ไม่ว่าครูคนไหนหรือแม้แต่ครูใหญ่มาขอ ท่านก็ไม่ ค่อยอนุญาต จนอุ้ยอายครูมาก คิดสงสัยว่า คุณยายเป็นอะไรกันนะ เพิ่งมารู้ภายหลังว่าที่ท่านไม่ชอบให้ร้องรำทำเพลงเพราะเมื่อก่อนคุณตาเล่นดนตรีไทยเก่งมาก จึงไปเล่นกับเพื่อนบ่อยครั้ง จนเป็นเหตุให้ท่านทะเลาะ และเลิกรากันในที่สุด ตอนเด็ก ๆ อุ้ยไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเกิดมากับพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง รู้เพียงแต่ชอบฟังเพลงมาก ฟังสองครั้งก็จำเนื้อร้องกับ ทำนองได้แล้ว อุ้ยชอบฟังเพลงถึงขนาดที่ยอม อดขนมเพื่อเก็บสตางค์ซื้อแผ่นเสียงเพลงสากล ที่ราคาแพงมากมาฟังกับแก๊งพี่ชาย แล้วให้เขา ช่วยแกะคอร์ดเพลงและสอนเล่นกีตาร์ เมื่อคุณพ่อเห็นว่าอุ้ยชอบด้านนี้มาก และการร้องเพลงภาษาอังกฤษก็ทำให้การ เรียนภาษาของเราดีขึ้น ท่านจึงใช้เรื่องนี้เป็น แรงจูงใจในการเรียน โดยท่านจะพาไปร้าน ขายเครื่องเสียง ไปดูวิทยุรุ่นใหม่ล่าสุด อยาก ได้รุ่นไหนก็ดูไว้ แต่คุณพ่อจะซื้อให้โดยมี ข้อแม้ว่าต้องสอบได้ที่ 1 ทำให้อุ้ยขยันเรียน เต็มที่และสอบได้ที่ 1 ทุกปีมาตลอด เรียกได้ว่าทั้งคุณพ่อและคุณครูต่างก็ เป็นผู้ผลักดันให้อุ้ยได้ร้องเพลง เพราะลำพัง ตัวเราเองก็คงไม่รู้หรอกว่าชอบร้องเพลงมากขนาดไหน

ดื้อเพราะอยากทำสิ่งที่รัก

หลังจากเรียนจบชั้นประถมที่โคราช อุ้ยก็ย้ายกลับมาเรียนในกรุงเทพฯที่โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ช่วงนั้นอุ้ยก็เก็บสตางค์ซื้อกีตาร์ยามาฮ่าซึ่งถือว่าแพงที่สุดมาได้ และเริ่มตั้งวงเล่นกีตาร์กับเพื่อน ๆ ทุกวันจะเห็นเด็กหญิงรวิวรรณแบกกระเป๋ากีตาร์ใบเบ้อเร่อ ไปโรงเรียนด้วย แม้การเรียนในช่วงนี้ยากขึ้น แต่อุ้ยก็ยังเรียนได้ที่ 1 ตลอด เพราะหวังรางวัลจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นของชิ้นใหญ่ขึ้นทุกปี แม้จะมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง แต่อุ้ยก็ไม่ได้ไปเรียนร้องเพลงเป็นเรื่องเป็นราว อีกทั้งคุณแม่ไม่ค่อยสนับสนุน เพราะกลัว การเรียนตก หลายครั้งที่อุ้ยหนีแม่ไปประกวด เล่นกีตาร์โฟล์คซอง โดยหนีออกจากบ้าน ตั้งแต่ตีสี่ และไม่ได้บอกใครเลยว่าจะไปไหน ซึ่งคงทำให้ที่บ้านเป็นห่วงมากที่หายตัวไปดื้อ ๆ อย่างนั้น พอเรียนขึ้นชั้น มศ.4 อุ้ยก็เพลาเรื่อง การร้องเพลงเล่นดนตรีลงเพราะต้องทุ่มเทให้ การอ่านหนังสือสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ ในปีเดียวกัน เวลานั้นคุณพ่อหมายมั่นให้ อุ้ยเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ และเลือกเรียน ด้านการทูตเพราะเห็นว่าเก่งภาษา อุ้ยก็ตามใจ ท่าน ไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่พอเวลา ไปยื่นเอกสารสอบจริง ๆ ไม่ได้เป็นตามที่ ตกลงกันเลย อุ้ยรู้ว่าถ้าเลือกคณะตามที่คุยกับคุณพ่อไว้ จะต้องสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แน่ ๆ ซึ่งอุ้ยไม่อยากเรียนใกล้บ้าน จึงเลือกคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นอันดับที่ 1 ผลออกมาก็สอบติดอันแรก จริง ๆ พอคุณพ่อคุณแม่รู้ก็ไม่อยากให้ไป เพราะเป็นห่วง และเห็นว่าเรียน มศ.5 อีก หนึ่งปี แล้วสอบอีกครั้งก็ไม่เสียเวลา แต่อุ้ยไม่ยอม ขังตัวเองอยู่ในห้อง 3 วัน ไม่ออกไปไหน ไม่ยอมกินข้าว จนคุณแม่สงสาร ยอมให้ไปเรียน ย้อนคิดไปถึงช่วงเวลานี้ทีไร อุ้ยก็สงสารแม่จับใจ คิดว่าทำไมเราดื้ออย่างนี้ ทั้งที่เป็นเด็กที่ดูไม่เกเร เรียนดี แต่สารพัดเรื่องที่ทำลงไปคงทำให้แม่ช้ำใจมาก

Aui2

ก้าวสู่เส้นทางของเสียงเพลง

พอได้มาเรียนที่เชียงใหม่ ชีวิตเป็น อิสระมาก ได้มาอยู่หอ ได้ไปเที่ยวบ่อย เพราะอยู่ชมรมถ่ายภาพ เรื่องร้องเพลงก็น้อยลงไป เพราะเที่ยวเสียเยอะ และช่วง ปี 1 นี่แหละที่อุ้ยเริ่มเที่ยวดิสโก้เธ็ค เพราะชอบร้องเพลงและเต้นรำมาก ขนาดที่ร้องเพลงสากลได้ทุกเพลงที่ดีเจเปิด และเต้นรำได้ทั้งคืน ผู้จัดการที่นี่ก็คงสังเกตเรามาตลอด วันหนึ่งเมื่อมีตำแหน่งดีเจผู้หญิงว่าง เขาจึงเรียกมาถามว่า “อยากเป็นดีเจไหม” อุ้ยตอบตกลงทันที เพราะในใจนึกแค่ว่าไม่ต้องเสียเงินเที่ยวแล้ว แถมได้ฟังเพลงทุกคืนด้วย พอรับปากเขาไปแล้ว ก็เขียนจดหมายไปหาคุณพ่อ คุณพ่อก็ตอบจดหมาย มีใจความประมาณว่า “ถ้าพ่อห้าม อุ้ยก็คงหนีไปทำงานนี้อยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะห้าม แต่ขอให้สัญญากับพ่อว่าต้องไม่เสียการเรียนและเรียนดีเหมือนเดิม” อุ้ยรักษาสัญญานั้นไว้ได้จริง ๆ ถึงจะทำงานแล้วก็ยังเรียนดีมากเหมือนเดิม แม้จะเลิกงานดึก นอนน้อย แต่ก็ตั้งใจเรียน มาก เพื่อไม่ให้การเรียนตก 

นอกจากนี้ ตั้งแต่ทำงานได้ก็ไม่เคยรบกวนเงินของคุณพ่อ คุณแม่อีกเลย หลังจากทำงานดีเจได้ปีกว่า ก็เห็นว่าหน้ามหาวิทยาลัยมีโรงแรมมาเปิดใหม่ จึงเดินเข้าไปที่ล็อบบี้เล้านจ์ และเข้าไปหาคนคนหนึ่งซึ่งดูว่าน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรม แล้วก็ ถามเขาดื้อ ๆ ว่า “ต้องการนักร้องเพิ่มไหมคะ” เขาจึงให้ลองร้องเพลงกับเปียโนที่กำลังเล่นอยู่ อุ้ยเลือกร้องเพลงสากล ซึ่งพอฟังจบ เขาก็ตกลงเรื่องเงินเดือนและให้มาเริ่มงานได้เลย การมาทำงานที่นี่ชีวิตก็สบายขึ้น เพราะทางโรงแรมใจดีให้เริ่มงานประมาณสองทุ่ม เพื่อที่จะได้ไม่เลิกงานดึก การทำงานนี้ทำให้อุ้ยกลายเป็นนักร้องอาชีพโดยปริยายตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา และทำให้รู้ว่าตัวเองมีความสุขที่สุดแล้วเมื่อได้ร้องเพลง ต่อมาช่วงปิดเทอมสุดท้ายก่อนเรียนจบ ในเวลาสามปีครึ่ง มีคนชวนอุ้ยไปร้องเพลงที่โรงแรมเปิดใหม่ที่พัทยา ชื่อว่า “สยามเบย์วิว” อุ้ยก็ตกลงไปลองดู ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต ที่ผ่านมาอุ้ยไม่เคยร้องเพลงมาก่อน จึงร้องไปตามที่ตัวเองคิดว่าใช่ โดยไม่เคยรู้ เลยว่า เสียงของเราควรร้องเพลงแนวไหน แต่การมาทำงานที่นี่ อุ้ยได้พบกับคุณกมลา สุโกศล เจ้าของโรงแรม ซึ่งท่านมานั่งฟังอุ้ยร้องเพลง และเรียกอุ้ยไปถามเสมอว่าร้องเพลงนั้นเพลงนี้ได้ไหม แต่ละเพลงที่ท่านพูดมา อุ้ยไม่รู้จักเลยสักเพลง ท่านจึงให้ผู้ช่วยหาแผ่นเสียงมาให้ฟัง แล้วบอกว่า “หัดร้องนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะมาฟัง” คุณกมลาเรียนร้องเพลงบรอดเวย์มา คงเห็นว่าเสียงของอุ้ยน่าจะร้องเพลงแนวนี้ได้ จึงให้การบ้านเป็นเพลงยาก ๆ ที่อุ้ยและ วงดนตรีต้องซ้อมกันอย่างหนักเสมอ ทุกครั้งที่ท่านมาฟัง ท่านจะเรียกอุ้ยไปสอนอย่างละเอียด ตอนนั้นเรายังเป็นเด็ก ก็น้ำตาร่วงเลย เพราะเสียงท่านเฮี้ยบมาก แล้วหน้าท่านก็ดุด้วย คุณกมลานับเป็นครูสอนร้องเพลงคนแรกของอุ้ย หากไม่ได้พบท่าน อุ้ยคงไม่รู้ความสามารถของตัวเอง ท่านเป็นผู้ที่ดึงศักยภาพของอุ้ยออกมา และทำให้อุ้ยรู้ว่าตัวเองเหมาะกับเพลงแบบไหน และต่อมาทักษะการร้องเพลงที่คุณกมลา สอนอุ้ยไว้ก็กลายเป็นหนทางนำไปสู่เส้นทาง การเป็นนักร้องที่ทุกคนรู้จัก

(โปรดติดตามตอนที่ 2 )

Secret BOX อยากจะเห็นสิ่งทั้งหลาย ให้เห็นตัวเอง หลวงพ่อชา สุภัทโท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook