เมื่อชีวิตไม่มีทางเลือก

เมื่อชีวิตไม่มีทางเลือก

เมื่อชีวิตไม่มีทางเลือก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฉันมีรูปร่างหน้าตาไม่น่ารัก ตัวอ้วนดำ แถมยังเป็นเด็กผู้ชายที่มีจิตใจเป็นหญิงทำให้คนรอบข้างดูถูกและไม่ยอมรับ

ฉันเกิดในครอบครัวคนจีนที่ค่อนข้างมีฐานะระดับหนึ่งในจังหวัด พ่อเป็นเจ้าของโรงกลึง แม่เป็นแม่บ้าน ท่านทั้งสองต่างเคยแต่งงานมีลูกมาก่อนแล้ว ฉันจึงเป็นน้องเล็กของบ้าน มีพี่น้องคนละพ่อคนละแม่ทั้งหมด 8 คน ต่อมาพ่อกับแม่แยกทางกัน ฉันอยู่กับแม่โดยที่พ่อส่งเสียค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

ตอนเด็กฉันใช้ชีวิตสนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไป รูปลักษณ์อ้วนดำไม่ได้เป็นปมด้อยแถมฉันยังมักแอบเอาน้ำยาอุทัยทิพย์มาทาปากให้แดง ชอบพกผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนเอาไว้โพกศีรษะหรือทำเป็นผม ทุกครั้งที่มีคนมองฉันก็เข้าใจไปว่าเขามองเพราะเห็นว่าฉันสวย

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแล้วนั่นแหละ ฉันจึงรู้ว่าทุกสายตาที่มองมาไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดเลยคำพูดที่ว่า “กะเทยควาย” “อ้วนดำ” ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งฉันลุกขึ้นยืนส่องกระจกเห็นภาพสะท้อนของเด็กชายอ้วนดำเหมือนอย่างที่ใครหลายคนดูถูกฉันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ด้วยความใจร้อนอยากเห็นผลเร็วจึงแสวงหาทางลัด คิดได้ว่าเคยเห็นช่างประกอบรถตุ๊ก ๆ นำน้ำมันก๊าดมาเช็ดทำความสะอาดชิ้นส่วนรถแล้วหกโดนมือ ทำให้หนังของเขาลอกออกมา ฉันจึงรีบหยิบเอาขวดน้ำมันก๊าดวิ่งขึ้นไปบนห้อง ล็อกประตู จากนั้นก็เอาสำลีชุบน้ำมันก๊าดเช็ดไปที่ต้นคอทันที

แว็บแรกเพียงแค่รู้สึกเย็น ๆ แต่พอเช็ดไปสักพักเริ่มรู้สึกแสบ และแสบมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วผิวหนังดำ ๆ ไหม้ ๆ ก็ค่อย ๆ หลุดติดออกมากับสำลี ความรู้สึกเจ็บในตอนนั้นคงไม่ต่างอะไรกับคนที่โดนน้ำกรดราด ฉันร้องไห้เพราะทั้งตกใจ เจ็บ และกลัว แต่ก็ทนเพราะอยากขาว

ฉันเช็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งคอแดงและเลือดซึมเลอะไปทั่ว จึงรีบไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย แล้วใช้ครีมบำรุงผิวโปะเข้าไปที่คอทันที จากนั้นก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน เพราะกลัวใครจะมาเห็น เวลาแม่เข้ามาหาฉันก็จะใช้ผ้าพันคอหรือใส่เสื้อกันหนาวคลุมไว้ ฉันค่อยๆ บำรุงผิวที่คอด้วยครีมจนแผลหาย เมื่อโตขึ้นฉันจึงรู้ว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิดและอันตรายมากหมอบอกว่าฉันโชคดีมากที่ผิวหนังไม่เป็นอะไรแต่ก็เกิดผลข้างเคียงคือผิวบาง เกิดรอยฟกช้ำง่าย และไวต่อแดด

ไม่มีใครในครอบครัวรู้เรื่องที่ฉันเป็นกะเทย เพราะอยู่บ้านคนละหลังกับพ่อและพี่น้องทุกคน มีแม่คนเดียวที่รู้มาตลอด แม่แอบซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ให้ฉันทุกรุ่น ฉันต้องแอบเล่นตุ๊กตาอยู่ในห้องคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งเรียนจบ ม.3 พ่อก็บอกว่าอยากให้เรียนต่อที่โรงเรียนสารพัดช่าง

วันไปสมัครเรียน พ่อขับรถไปส่งระหว่างทางฉันคิดในใจว่า “ทำไมพ่อให้กะเทยไปเรียนสารพัดช่าง” และแล้วก็เหมือนกับเป็นโชคชะตา ปีนั้นเป็นปีแรกที่โรงเรียนเปิดสอนสาขาการตลาดและการโรงแรม ซึ่งมีใบสมัครวางอยู่ใกล้ ๆ กัน พอพ่อหันหลังฉันรีบหยิบใบสมัครแผนกการโรงแรมมาทันทีแล้วนั่งกรอกข้อมูลตรงโต๊ะรับสมัครช่าง เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงยื่นให้อาจารย์และกลับบ้านตามปกติ

เมื่อถึงวันรับเครื่องแบบและหนังสือพ่อไปส่งฉันเช่นเคย เมื่อได้ชุดแล้วพ่อบอกกับฉันว่า “ไหนพ่อขอดูชุดหน่อย” พ่อเปิดดูของที่อยู่ในถุงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อดูเสร็จก็ให้เงินไปจ่ายค่าชุดและค่าหนังสือ เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินออกมาข้างนอกโรงเรียน

“ทำไมชุดเป็นแบบนี้ ทำไมมีสูท มีเนคไท” พ่อมาถามทีหลังด้วยความสงสัย “หนูลงเรียนการโรงแรม” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับพ่อ เมื่อพ่อและทุกคนในบ้านรู้ว่าฉันเป็นกะเทยก็ไม่มีใครยอมรับ โดยเฉพาะพี่สาวต่างแม่ที่เกลียดฉันมาก “ฉันไม่มีน้องชายแบบนี้ พ่อไม่มีลูกแบบนี้”

พ่อผิดหวังในตัวฉันมาก เพราะท่านวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้ฉันดูแลธุรกิจโรงกลึงของครอบครัว ซึ่งสร้างและดำเนินการไปแล้วทั้งหมด 3 สาขา สองสาขาแรกพ่อสร้างให้พี่ชาย แต่อีกหนึ่งสาขาสร้างให้ฉันโดยให้พี่ชายดูแลไปก่อน

ฉันตัดสินใจหนีออกจากบ้านโดยมีเงินติดตัวเพียง 80 บาท ส่วนแม่ยังอยู่กับพี่ป้าน้าอาในบ้านหลังเดิม ฉันเดินออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ไม่รู้จะนอนที่ไหน ระหว่างที่เดินไปตามทางความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา “ฆ่าตัวตายดีไหม” แต่เพียงชั่ววูบเท่านั้น พลันคำดูถูกเหยียดหยามมากมายก็ทำให้ฮึดสู้ และตั้งใจว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้นให้ได้ จากนั้นจึงไปขอพักอาศัยและกินข้าวก้นบาตรที่วัดแถวบ้าน

ที่นี่ห้องนอนของฉันคือห้องเก็บของห้องอาบน้ำคือห้องน้ำในตลาดสดที่มีหนูตัวใหญ่ ๆ วิ่งไปมาให้เห็นจนชินตา พื้นตลาดเปียกแฉะเต็มไปด้วยตะไคร่ น้ำที่ใช้ชำระล้างร่างกายทุกอย่าง ตั้งแต่อาบน้ำ สระผมล้างหน้า แปรงฟัน ต้องรองจากอ่างที่เอาไว้ล้างส้วม ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้นมาความคิดที่ว่า นี่ฉันจะต้องแปรงฟันจากตรงนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย ผุดขึ้นมาทุกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกฉันก็ต้องก้มหน้าใช้ชีวิตต่อไป

แน่นอนว่าการกินอยู่หลับนอนที่วัดย่อมทุลักทุเล ไม่สะดวกสบายเหมือนที่บ้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินต่ำ เพราะต้องอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้นิสัยใจคอ ฉันเกือบโดนข่มขืนถึงสองครั้ง ครั้งแรกฉันกับเพื่อนคนหนึ่งกำลังคุยกัน
อยู่ในห้อง สักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเรียกจากเพื่อนอีกคน แต่เมื่อเปิดประตูออกไปกลับเห็นผู้ชายแปลกหน้าท่าทางมีพิรุธคนหนึ่งยืนอยู่กับเพื่อน ผู้ชายคนนั้นตรงเข้ามาจะข่มขืน ฉันกับเพื่อนที่อยู่ในห้องจึงช่วยกันตะโกนเสียงดังเพื่อให้คนได้ยิน ผู้ชายคนนั้นกลัวว่าจะถูกจับได้จึงรีบวิ่งหนีไป ทำให้ฉันรอดมาได้ เพื่อนที่มาเรียกเล่าให้ฟังทีหลังว่าถูกบังคับให้มาเคาะประตู

ครั้งที่สองเกิดขึ้นขณะที่ฉันพักผ่อนอยู่ในห้อง จู่ ๆ ประตูก็ถูกพังเข้ามาอย่างแรงฉันตกใจร้องลั่น แล้วผู้ชายตัวสูงใหญ่ก็ปรี่เข้ามาหาฉัน เขาทั้งตบ ต่อย กระทืบ หวังจะข่มขืนฉันให้ได้ ฉันตะโกนให้คนช่วยและออกแรงสู้จนสุดชีวิต กระทั่งพระมาช่วยฉันจากเงื้อมมือของเด็กวัดคนนั้นเอาไว้ได้ทัน

ตั้งแต่วันที่พ่อรู้ว่าฉันเป็นกะเทย ท่านก็ไม่ได้ส่งเสียฉันเรียนหนังสืออีกเลยแม้แต่บาทเดียว ในระหว่างที่อยู่วัดฉันจึงทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วย ช่วงแรกไปขายป๊อบคอร์นตามร้านอาหาร ผับ บาร์ ต่อมาฉันทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่สวนสัตว์ดุสิต มีรายได้ 300 บาทต่ออาทิตย์ วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ได้วันละ150 บาท ฉันนำเงินส่วนนี้ส่งตัวเองจนเรียนจบปวช. เมื่อเรียนจบแล้วจึงเริ่มหางานทำอย่างจริงจัง ฉันเดินเข้าไปสมัครงานที่ร้านสะดวกซื้อหลายแห่งในจังหวัดนนทบุรี ด้วยวุฒิ ปวช.สาขาการโรงแรม แต่เมื่อกรอกใบสมัครเสร็จฉันได้ยินพนักงานพูดว่า “อ้วนก็อ้วน ดำก็ดำกล้ามาสมัครงานแบบนี้ได้ยังไง” วันนั้นฉันเดินร้องไห้กลับวัดตั้งแต่ท่าน้ำนนท์จนถึงบางซื่อโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว

ฉันมานั่งคิดว่า “เป็นไปได้หรือที่บริษัทนี้ทั้งจังหวัดจะไม่รับฉันเข้าทำงานเลย ทั้ง ๆ ที่เกรดเฉลี่ยของฉันก็พอใช้ได้ และอายุการทำงานก็ได้แล้ว” ฉันจึงหันกลับมามองตัวเอง และเห็นว่าเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาและบุคลิกของเรานี่แหละที่พลาดไป ตอนนั้นฉันหนัก 128 กิโลกรัม สวมกางเกงเอว 44 นั่นทำให้ฉันลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่อีกครั้ง

ฉันสลัดความน้อยเนื้อต่ำใจทิ้ง แล้วมุ่งหน้าหางานทำต่อไป เพื่อนำมาเป็นทุนในการเปลี่ยนแปลงชีวิต และแล้วก็ได้งานทำที่แรกที่สำนักกฎหมาย ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ ได้เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ตอนนั้นฉันขายผลิตภัณฑ์ความงามในเฟซบุ๊กไปด้วย ทำให้มีรายได้สองทาง และเมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงย้ายออกจากวัดมาเช่าห้องพักแทน

เมื่อเก็บเงินได้มากพอ ฉันไปแปลงเพศและโพสต์วิธีดูแลตัวเองที่ทำแล้วได้ผล (ยกเว้นเรื่องใช้น้ำมันก๊าด) ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์คหวังให้เป็นแรงบันดาลใจกับคนที่ประสบปัญหาเดียวกันหรือใกล้เคียง ปรากฏว่ากลายเป็นเรื่องโด่งดัง มีรายการทีวีมาติดต่อให้ไปสัมภาษณ์พอแม่เห็นเข้าก็มาหาฉันและขอมาอยู่ด้วย

หลังจากพ่อรู้จึงเริ่มโทร.มา และแวะเวียนมาหาโดยที่พี่สาวต่างแม่ไม่รู้ วันหนึ่งพ่อมาเจอฉันและไปส่งที่ตลาดใกล้บ้าน ฉันดีใจมากที่ได้นั่งรถกับพ่อ ก่อนจะลงจากรถพ่อพูดกับฉันว่า “เออ ๆ โชคดีนะลูก กลับดี ๆ นะ”

วันนั้นฉันเดินร้องไห้ตั้งแต่ตลาดจนกลับถึงบ้าน เพราะทั้งชีวิตไม่เคยได้ยินพ่อพูดคำว่า “ลูก” เลย และนั่นหมายถึงการยอมรับของพ่อที่ลูกอย่างฉันเพิ่งจะได้รับรู้ในวันนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อเริ่มดีขึ้น และฉันก็มีโอกาสได้ดูแลท่านเมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกัน

ความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาทำให้ฉันสามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ ซื้อบ้านและรถให้แม่ด้วยเงินสด เลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่เดือดร้อนใคร ถึงแม้อดีตที่ผ่านมาจะเลวร้าย แต่ก็เป็นแรงผลักที่ทำให้ฉันฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ปัจจุบันฉันมีความสุขกับชีวิตที่สุดแล้ว...

ดับทุกข์ทางโลกด้วยธรรมะ ข้อคิดจากพระพรพล ปสันโนคนเราแม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีชีวิตที่ดีได้ด้วยการใช้หลักธรรมนำชีวิต พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เรื่องราวชีวิตที่เราได้อ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่า การไม่นอนตื่นสาย ไม่อายทำกิน ไม่หมิ่นแม้เงินเพียงเล็กน้อย ไม่คอยวาสนา คือคาถาแห่งความสำเร็จ

การฆ่าตัวตายไม่ได้ช่วยอะไรหรือช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด การที่เรารักและเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งที่พระพุทธ-ศาสนาสอน เมื่อใดเราเข้าใจตัวเราเข้าใจอารมณ์ และยอมรับการเปลี่ยน-แปลงของร่างกาย เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทุกข์ แต่เมื่อเราไม่เข้าใจและไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เราจะมีความสุขอยู่ในโลกนี้ยาก

การที่บิดามารดาเข้าใจการเปลี่ยน-แปลงทางร่างกายและจิตใจของบุตรนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ คงไม่มีบิดามารดาท่านใดอยากให้บุตรเรามีความผิดปกติไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ แต่เมื่อเราพบกับความไม่พอใจนั้นเราจะต้องทำใจยอมรับและดูแลเขาเข้าใจเขาให้มากที่สุด ให้สมกับที่เขาได้เลือกเกิดมาเป็นลูกของเรา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook