สัมภาษณ์ แนนซี่ นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์ Don’t Worry Be HappyNancy

สัมภาษณ์ แนนซี่ นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์ Don’t Worry Be HappyNancy

สัมภาษณ์ แนนซี่ นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์ Don’t Worry Be HappyNancy
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ Woman We Love
เรื่อง : ณัฐพล ศรีเมือง
ภาพ : กิตตินันท์ จรรยางาม
นิตยสาร GM ฉบับเดือนมีนาคม 2560

Don’t Worry
Be HappyNancy

แนนซี่นัยน์ภัค ภูมิภักดิ์ เจ้าของเพจ HappyNancy ที่ตอนนี้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวดำน้ำของสาวๆ ทั่วประเทศในระดับ ‘ขุ่นแม่’ เธอมาพีคสุดๆ จากข้อเขียนบนสเตตัสที่พูดถึงความไม่มั่นใจในการใส่ชุดบิกินีของผู้หญิงไทย ซึ่งเป็นความจริงที่โดนใจคนจำนวนมาก จนเธอกลายเป็นกระบอกเสียงด้านความมั่นใจของผู้หญิงไปแล้ว แนนซี่เป็นแบบฉบับของผู้หญิงที่รักในความเป็นตัวเอง เรามาดำดิ่งไปในบทสนทนาที่จะพาคุณไปรู้จักตัวตนความคิดและการทำชีวิตให้แฮปปี้ของเธอ

แต่คุณไม่จำเป็นต้องแฮปปี้ในแบบแนนซี่หรอกนะ แฮปปี้ในแบบตัวคุณเองนั่นแหละ 



1
พูดได้ว่า จุดเริ่มต้นการเป็นนักเดินทางของแนนซี่ มาจากชีวิตการเรียนการละครที่หนักหนาสาหัสตลอด 4 ปีในมหาวิทยาลัย ความอัดอั้นที่ไม่ได้ไปไหนเลย ชนิดที่ว่า ‘ไม่ไหวแล้วโว้ย’ ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของการไปแบ็คแพ็คที่ยุโรปกับน้องสาวสองคน...

แต่ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้ เราย้อนไปทำความรู้จักแนนซี่ก่อนหน้านั้น...

แนนซี่เติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่ออยู่การบินไทย คุณแม่เป็นแม่บ้าน เลยได้มีโอกาสท่องเที่ยวเยอะ เพราะได้ตั๋วฟรีจากการบินไทย และเหมือนถูกปลูกฝังให้เที่ยวไปในตัว พอว่างปุ๊บครอบครัวก็จะไปเที่ยวออกทริปกัน

ตอนเด็กๆ แนนซี่ถูกบังคับให้ไปเรียนโรงเรียนหญิงล้วน ที่วัฒนาวิทยาลัย ใส่กระโปรงแดง แต่เธอเป็นเด็กห้าวๆ จนทุกคนคิดว่าเป็นทอม ‘ไม่ไหวแล้ว’ เธอคิด เธอไม่สามารถทนอยู่ในสังคมแบบที่...ไม่ใช่ตัวเธอได้ ยิ่งถ้าขึ้นมัธยมต้องอยู่ประจำ อึดอัดตายแน่ๆ เลยคิดว่าต้องสอบให้ติดสาธิต เธอทำทุกอย่าง สุดท้ายก็สอบติดสาธิตรามฯ

ขอให้สังเกตว่าเธอยืนยันในความเป็นตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้นนะครับ

สิ่งที่เธอได้ติดตัวมาจากวัฒนาฯ ก็คือภาษาอังกฤษที่แข็งแรง ซึ่งปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอมาก เพราะต้องใช้สื่อสารเวลาไปท่องเที่ยวเดินทาง

ตอนมัธยมเธอชอบอ่านเชกสเปียร์ฉบับภาษาอังกฤษ อยู่ดีๆ ก็เข้าห้องสมุดไปเจอหนังสืออะไรไม่รู้เก่าดี เท่ เลยเอามาอ่าน แล้วสนุก เธอลองหาข้อมูลดูว่าถ้าจะเรียนต่อทางด้านการละครมีที่ไหนบ้าง ก็ไปเจอที่ธรรมศาสตร์ซึ่งเน้นละครเวที และ มศว. เน้นทางทีวี ตอนแรกเธอตั้งใจไป มศว. แต่ไม่ติด ตกสัมภาษณ์ เลยตั้งใจเอาธรรมศาสตร์ให้ได้ ก็ได้แบบฉิวเฉียด

แนนซี่เข้าเรียนการละครที่ธรรมศาสตร์ รหัส 52 เธอบอกว่าเธอเป็นคนไม่เก่งแต่พยายาม ไม่อยากให้แม่เสียเงินเยอะตอนเรียนมหาวิทยาลัย เลยฟิตจนเข้าธรรมศาสตร์ได้ และเข้าไปแล้วก็แทบจะเป็นบ้า

“เข้าไปปุ๊บ เจอสังคมที่ทุกคนแย่งกันเรียน ทุกคนตั้งใจๆๆ อ่านหนังสือๆๆ สมมุติเต็ม 50 บอกฉันได้ 48 เอง เชี่ย! กูแค่ผ่านครึ่งหนึ่งก็โอเคมากแล้ว (หัวเราะ) แต่มันไม่ได้ไง ถ้าเต็ม 50 แล้วเราได้ประมาณ 35 จะกลายเป็นตัวประหลาด ทำให้เราฮึด ก็ได้โว้ย! อ่านหนังสือๆๆ คนปกติอ่าน 2 รอบก็จำได้ แต่แนนต้องอ่าน 4 รอบ คือแนนโง่ ก็พยายามจนเรียนจบมาได้ พอจบปุ๊บ มันอัดอั้น ใน 4 ปีนี้หนูไม่ได้ไปไหนเลยนะ แล้วต้องไปอยู่หออีก บ้านก็ไม่ได้กลับ คณะหนูต้องทำธีสิสอีก ทำละครเรื่องหนึ่ง โคตรหนัก ไม่ไหวแล้วโว้ย! เรียนจบมา กูต้องไปเที่ยว เลยเริ่มจากการไปแบ็คแพ็คที่ยุโรปสองคนกับน้องสาว สนุกว่ะ แล้วก็เลยคิดว่า ทำไมไม่เที่ยวในไทยก่อน เลยลองกลับมาเที่ยวแบ็คแพ็คในไทย”

ครับ จากจุดนั้นเอง เธอก็เลยติดการเดินทางมาจนถึงทุกวันนี้

ซี่ชอบการแสดง ส่วนหนึ่งเพราะว่าเคยมีโอกาสได้ทำงานเป็นแบบโฆษณาตั้งแต่เด็ก “ส่วนใหญ่เป็นโฆษณาอินโดฯ โฆษณาไทยเขาไม่ค่อยเอา เพราะตัวดำผมหยิก” เธอบอก

และแม้ว่าตอนหลังจะเคยผ่านการเล่นซีรีส์ช่องใหญ่รวมถึงภาพยนตร์ก็ตาม แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้สานต่ออาชีพนี้

“ตอนมหา’ลัยก็ทำ เคยถ่ายซีรีส์ช่อง 3 แต่คนอาจจะจำไม่ได้ เพราะว่าถูกเปลี่ยนลุคไปหมดเลย ไม่ได้เป็นตัวเอง เล่นเป็นผู้หญิงแจ๊ดแจ๋ ซึ่งด้วยความที่ไม่ได้เป็นตัวเองนี่แหละ เลยไม่มีจุดเด่นที่คนจะจำ เลยไม่ได้ทำต่อ เคยเล่นหนังใหญ่ด้วย หนังผีชื่อเรื่อง ‘ตีสาม 3D’ เรื่องนี้เหมือนจะเป็นตัวเองมากที่สุด แต่สรุปแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบอยู่ในเซตในซีน บอกไม่ถูก อยู่เบื้องหลังสนุกกว่า ไปเป็นแอ็คติ้งโค้ช เป็นครูดีกว่า สอนเด็กที่อยากจะไปเป็นอย่างนั้นมีความสุขกว่า”

ดังนั้นแล้วงานหลักจริงๆ ของแนนซี่ก็คือเป็นครูสอนแอ็คติ้งอยู่ที่ซูเปอร์สตาร์ อะคาเดมี ทองหล่อ นอกเหนือจากนี้ก็ทำเพจและงานที่เกี่ยวเนื่องจากเพจ ซึ่งทุกวันนี้ก็กลายเป็นอีกอาชีพไปแล้ว และยังมีจ็อบพิเศษเป็นบาริสต้าด้วย

แต่เพราะเสพติดการเดินทางเสียแล้ว เธอจึงต้องออกแบบชีวิตการทำงานเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตนักเดินทาง นั่นคือเธอจะสอนแอ็คติ้งแค่อาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันอังคารกับวันอาทิตย์

“ตอนแรกไปขอเขาลาออกด้วย ไม่อยากสอน ทำไมต้องสอนให้เด็กไปเป็นดารา ’ติสต์แตก (หัวเราะ) แล้วก็คิด นี่มันคืออาชีพ ถ้าเราไม่มีอาชีพเราก็อยู่ไม่ได้ ก็ขอเขาทำยังไงให้สอน 10 โมงเช้าถึง 2 ทุ่มได้ เพราะปกติอาจจะต้องสอนคละกันวันละ 3-4 ชั่วโมง ขอจัดตารางให้เต็มทั้งวัน อีกอย่างเด็กติดแนน เขาเลยยอม ฉะนั้นวันอังคารกับวันอาทิตย์จะเป็นวันที่อยู่กรุงเทพฯ นอกนั้นจะไปไหนก็ไปเลย ถ้าจะไปเที่ยวนานๆ ก็รอเด็กปิดเทอม คือการที่เป็นครูสอนแอ็คติ้งก็มีรายได้เพียงพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตในหนึ่งเดือน เพราะว่ามันเป็นวิชาที่ไม่ใช่ทุกคนทำได้ มันต้องเรียน ต้องสอบ ต้องเข้าใจจริงๆ ถึงจะมาเป็นครูได้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องถือว่าแนนโชคดีที่แนนทำตรงนี้ได้ ส่วนเรื่องของการไปเที่ยว มันเป็นความคิดแนนเองว่าต้องไปเที่ยว แนนอยากไปเห็นโลก”

จากความตั้งใจที่ว่าจะออกทริปเดือนละหน เธอทำไม่ได้ครับ... เพราะหลังจากที่เพจเริ่มบูม กลับกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้เธอไปทริปถี่ยิบแทบทุกอาทิตย์เลยทีเดียว!

2
หลังจากเที่ยวแบบแบ็คแพ็คในเมืองไทยแล้ว แนนซี่ก็เริ่มไปเรียนดำน้ำ จากดำน้ำตื้น เธอเริ่มหาข้อมูลว่า จะลงไปลึกกว่านั้นได้มั้ย อยากไปดูตรงโน้นตรงนี้ ปลาที่ไม่เคยเห็น เรียนดำน้ำเสร็จ ผลก็อย่างที่เห็น ติดยาวมาจนถึงทุกวันนี้เช่นกัน

“ตอนเรียนสนุก เพราะว่าเราชอบ จริงๆ ไม่ยาก อยู่ที่ใจ รู้มั้ยว่าตากล้องบางคนที่ดำน้ำเก่งมากๆ ว่ายน้ำไม่เป็นนะ เพราะว่ามันคนละหลักการเลย ถ้าเกิดจะลอยขึ้นให้หายใจเข้า ลอยลงให้หายใจออก มืออยู่เฉยๆ จะไม่ใช้มือ เท้าสั่งให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า จะถอยหลัง หรือจะเลี้ยว อยู่ที่เท้า คือมันคนละอย่างกับการว่ายน้ำบนผิวน้ำ ไปดำครั้งแรกที่สิมิลันก็เจอกระเบนแมนต้ากับฉลามวาฬเลย ว่ายตัดกัน เราคิดว่ามันก็น่าจะเจอง่ายๆ แต่เพื่อนบอกว่าเจอตั้งแต่ครั้งแรกนี่คือโชคดีมาก บางคนดำเป็นพันไดฟ์ยังไม่เจอฉลามวาฬเลย อ้าว มันไม่ได้เจอง่ายๆ เหรอ (หัวเราะ) รู้สึกดี ชอบ จากนั้นก็ชอบแมนต้ามาก เลยสักรูปแมนต้า"

เธอบอกว่าเธอเป็นคนที่เจอฉลามวาฬกับแมนต้าบ่อยมาก ไปทีไรเจอตลอด ขณะที่บางคนดำร้อยไดฟ์ ห้าร้อยไดฟ์ ไม่เคยได้เจอ ก็เป็นเรื่องแปลก

“ดำน้ำแรกๆ ทุกคนคาดหวังหมดว่าต้องเจอนี่ๆ ลิสต์มาเลย ปลาพันธ์ุนี้ๆ ทำอย่างนั้นแล้วไม่เจอมันจะเฟล แนนเลยเปลี่ยนความคิดตัวเอง ทำไมเราไม่ลองคิดว่า เราไปสัมผัสบรรยากาศ ไม่ว่าบนเรือ หรือเวลาเราดำน้ำ บางทีเจอปลาหมึกแค่ตัวเดียวมันก็ดีแล้ว แฮปปี้แล้ว ได้เห็นปลาหมึกว่ายน้ำสนุกสนาน ทำไมต้องไปคาดหวังว่าจะเจอแมนต้า ฉลามวาฬ”

อะไรคือเสน่ห์ของโลกใต้น้ำที่ทำให้เธอหลงใหลขนาดนี้?

“มันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ในปกติชีวิตเราไม่เห็น แต่เราไปเจอโลกใหม่ ก็เหมือนเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ แนนชอบไปดำที่สิมิลันมาก ไดฟ์ไซต์ที่แนนชอบมากชื่อว่าริเชริว เกิน 20 หนแล้ว แต่ลงทุกหนไม่เหมือนกันสักหนเลย เพราะว่ามันมีเสน่ห์ มีอะไรที่ได้เรียนรู้ตลอดเวลา แค่เรื่องของปลาอย่างเดียวก็เรียนรู้ไม่หมดแล้ว มีเรื่องของกระแสน้ำ สิมิลันแปลกมาก เป็นกระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศทางตลอด มีปลาใหญ่ปลาเล็กมาตลอด เชื่อมั้ยว่า Killer Whale หรือวาฬออร์กา ผ่านทุกปี แค่เราไม่รู้ว่ามันจะมาตอนไหน ไดฟ์ไซต์นี้เจออะไรแปลก ๆ เยอะมาก มีเสน่ห์มาก ปะการังอ่อนเหมือนตู้ปลาที่จัดวางไว้สวยงาม อยากเจอม้าน้ำก็ได้เจอ คือลงไปที่นี่ ครบ”

นอกจากเรียนรู้โลกใต้น้ำแล้ว การดำน้ำยังทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย เวลาอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ใต้น้ำ

“เพราะว่าเราอยู่กับตัวเอง แนนเป็นคนที่แพนิค (Panic) เป็นคนล่ก ซุ่มซ่าม พูดมาก ไม่มีสมาธิ ถ้าให้แนนนั่งเฉยๆ สองนาทีแนนนั่งไม่ได้ (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นแนนนิ่ง แนนสงบ มีอะไรให้คิดไปเรื่อย ๆ แล้วมันผ่อนคลาย ดูปลา กลายเป็นแนนนิ่งมากเวลาดำน้ำ จนเพื่อนตกใจว่า นี่มึงเหรอ มึงเป็นใคร (หัวเราะ)”

เหตุผลเหล่านี้นี่เองที่ทำให้เธอคิดว่าอยากสร้างอินสไปเรชั่นให้คนไปดำน้ำ

“ก็เพราะว่ามันเป็นอีกโลกหนึ่ง และเป็นโลกที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น แนนแค่อยากให้คนที่เขาไม่เคยมีโอกาสเห็น ได้เห็นมากกว่า อย่างเช่นที่แนนทำคลิปมา บางคนไม่รู้จักแมนต้าด้วยซ้ำ กระเบนก็คือกระเบน แนนเห็นแล้วแนนชอบ แค่ทำให้เขาได้เห็นก็โอเคแล้ว อย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อได้ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน”

3
แนนซี่บอกว่า ตอนแรกที่สร้างเพจขึ้นมา เธอแค่อยากสร้างอินสไปเรชั่นให้คนไปเที่ยว แค่นั้นเลย

“คือบางคนอย่างพนักงานออฟฟิศ หนูมีเพื่อนที่เป็นพนักงานออฟฟิศเยอะมาก แล้วก็คิดว่า ชีวิตแกมันน่าเบื่อจังวะ อย่างน้อยถ้าแกไม่ได้ไปเที่ยวเอง ชั้นไปเที่ยวให้แกดูก็ได้ ซึ่งวันหนึ่ง เขาเห็นเยอะๆ เข้า เขาอาจจะลุกขึ้นไปเที่ยวก็ได้ อันนี้คือจุดประสงค์หลัก”

ก็คุณไม่ได้ทำงานประจำนี่ คุณก็ไปเที่ยวได้สิ GM ลองถามแทนใจหลายๆ คน

“จริงๆ แล้วเพื่อนแนนอีกคนที่เป็นผู้ชาย ทำเพจเหมือนกัน มันเป็นวิศวกร ทำงานประจำ แต่มันใช้วิธี ทุกเสาร์-อาทิตย์ จะออกไปเที่ยว คืนวันศุกร์ก็จองตั๋วไปแล้ว สมมุติบินกลางคืน 2 ทุ่ม ไปถึง 4-5 ทุ่ม ก็จะมีเวลาเที่ยวของคืนวันนั้นแล้ว แล้วก็เสาร์-อาทิตย์ บางทีมันกลับเช้ามากๆ ของวันจันทร์ ก็จะมีเวลาเที่ยวเยอะมาก อาจจะทำได้ แต่ก็เหนื่อยจริง แต่ว่าเราก็ไม่ต้องบู๊เที่ยวทุกอาทิตย์ก็ได้ แต่ว่ามันก็จะมีเวลาพวกลองวีคเอนด์อะไรต่างๆ เราก็สามารถแบ่งเวลาไปได้ หรือถ้าสมมุติไปทริปต่างประเทศทริปไกลๆ ก็อาจจะจัดเวลาในการลางานมั้ย

“แต่ว่าอย่างแนนเป็นฟรีแลนซ์ แนนไม่สามารถทำงานประจำได้ เพราะแนนไม่ชอบอยู่ในกรอบ แนนไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ต้องตอกบัตร ติ๊กนิ้ว เคยลองพยายามแล้ว แต่ทำไม่ได้ ซึ่งอันนี้แนนว่ามันเป็นวิถีของแนนมากกว่า ก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนด้วยนะ แล้วในหนึ่งวันแนนจะพยายามใช้ตังค์ให้น้อยที่สุด กินข้าวบ้าน อาหารเช้าทำเอง กลางวันเป็นไปได้ก็จะแบกปิ่นโตไปกินเอง เสื้อผ้าแนนก็ไม่ค่อยซื้อ โชคดีอย่างหนึ่งแนนไม่ใช้แบรนด์เนม ผ่านยุคแบรนด์เนมมาแล้วตอนมหา'ลัย มันก็ไม่มีอะไรต้องฟุ่มเฟือย มีแต่คนถามว่าทำไมมีตังค์ไปเที่ยวเยอะวะ ก็กูทำอย่างเนี้ย (หัวเราะ)”

เธอเริ่มสร้างคอนเทนต์จากฟุตเทจที่มีอยู่มากมาย จากการไปเที่ยวดำน้ำมาเกือบทั่วเอเชีย เอามายำรวมกันเป็นวิดีโอ แรกๆ ก็ท้อ เพราะคนไลค์น้อย แต่ตัดต่อนาน เธอลองทำไปเรื่อยๆ วันเว้นวันก็ยังดี จนเริ่มมีคอนเทนต์เยอะขึ้น เช่น ทำยังไงให้ผิวแทนเท่ากัน, ไปมัลดีฟส์ต้องไปดำน้ำที่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนไม่รู้และสนใจ ฟีดแบ็คจึงกระเตื้องขึ้น

จนกระทั่งแนนซี่โพสต์เรื่องที่ว่า ทำไมสาวไทยไม่กล้าใส่บิกินี ขึ้นมา ซึ่งประเด็นนี้เป็นปมในใจของสาวไทยจำนวนมากอยู่แล้ว เซคชันผู้หญิงจากเพจและสำนักข่าวต่างๆ จึงเอาไปแชร์กันมากมาย จนทำให้ทุกคนรู้จักชื่อของ HappyNancy ยอดไลค์เพจเพิ่มขึ้น และเธอกลายเป็นแรงบันดาลใจของสาวๆ ที่อยากสร้างความมั่นใจในแบบของตัวเอง และแน่นอน-เป็นที่ชื่นชอบชื่นชมของหนุ่มๆ อย่างเราด้วยนะครับ-แฮ่

ทุกวันนี้รายได้จากเพจอย่างเดียวอยู่ได้มั้ย? GM ถาม

“อยู่ได้นะ เพราะว่าแนนกินอยู่ง่ายมาก ไม่ถึงขนาดคำว่ารวย แต่อยู่ได้ เพราะแนนก็ไม่รู้จะเรียกอะไรเขาเยอะขนาดนั้น แนนมีเพื่อนที่ทำเพจเหมือนกัน ก็ปรึกษากันตลอดว่าถ้าเขามาอย่างนี้ต้องเรียกเขาเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้เอเยนซีโฆษณาส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ไม่ไปลงทุนกับสื่อโทรทัศน์แล้ว หันมาลงทุนกับพวกอะไรแบบนี้ เมื่อก่อนแนนรับถ่ายโฆษณา ก็พอจะรู้เรตมาบ้างว่า แบรนด์หนึ่งแบรนด์เขาจะมีเงินสปอนเซอร์อะไรให้เราได้เท่าไหร่ เราก็เอาอันนั้นมาคำนวณเอง”

เมื่อทำเพจมาถึงจุดนี้ เธอตระหนักในความสำคัญของการมีจุดยืนที่จะทำให้เพจยืนระยะได้

“แนนเป็นคนเลือกงาน สมมุติติดต่อมาสิบอย่าง แนนเลือกเหลือแค่สาม เพราะแนนคิดว่า ไม่อยากให้เพจเป็นเพจโฆษณา แนนอยากให้เพจเป็นเพจท่องเที่ยว อย่างบางสินค้าบอก สบู่ตัวนี้ใช้แล้วขาวค่ะ คุณแนนซี่เอาไปใช้ได้มั้ย คือแบบ... wWhat? คือไม่ได้อยากขาว แล้วก็จะมีพวกแบรนด์เครื่องสำอาง แบรนด์โลชั่น ซึ่งไม่เกี่ยวกับเพจ แนนก็จะเลือกอะไรที่สามารถไปกันได้ แล้วหลังๆ มานี้แนนทำคลิปแต่งหน้าด้วย อยากลองเล่น พอทำคลิปแต่งหน้าก็มีช่องทางอีกช่องทางหนึ่ง ที่เราสามารถสร้างอินสไปเรชั่นให้ผู้หญิงได้ ไม่จำเป็นจะต้องขาว ไม่จำเป็นจะต้องแต่งหน้าให้หน้าลอย ตัวดำก็ต้องแต่งหน้าแบบตัวดำสิ”

เมื่อเพจมีรายได้มากขึ้น เพราะมีคนมาเลือกให้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้เธอต้องรับผิดชอบมากขึ้น จากตอนแรกที่ทำแบบสบายๆ ตอนนี้ก็ต้องมานั่งเครียดว่าวันนี้จะลงคอนเทนต์อะไร พรุ่งนี้จะลงคอนเทนต์อะไร บางครั้งก็ต้องรีบเร่งตัดงานแข่งกับเดดไลน์ พูดง่ายๆ ว่านี่คืออาชีพหลักอีกอาชีพ

“ตอนนี้เวลาไปเที่ยวก็ต้องคิดไปก่อน แนนชอบวางแผนก่อนอยู่แล้ว จะเล่าเรื่องยังไงให้น่าสนใจ มีเพจท่องเท่ียวหลายเพจ ทำยังไงให้แตกต่างและเป็นตัวเองมากที่สุด คือการเป็นตัวเองมันก็คือแตกต่างนั่นแหละ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมเป็นตัวเองกัน หนูก็เลยแหวกแนวโดยการเป็นตัวเอง (หัวเราะ) คนไทยส่วนใหญ่ อย่างผู้หญิงก็จะชอบเกาหลี ขาว พยายามไม่เป็นตัวเอง ตัวเองไม่มีดั้งก็ไปทำดั้ง ไปทำคาง ไปทำให้หน้าวี ซึ่งยูต้องรับตัวเองให้ได้ก่อนอย่างแรก แล้วยูจะมีความสุขมากนะคะ แนนทำอะไรก็ได้ที่สบายใจและเป็นตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะทำ”

แต่แน่นอนว่าการยืนอยู่บนโลกโซเชียลฯ ไหนเลยจะหนีเรื่องดราม่าพ้น เธอผ่านมาแล้ว บางช่วงถึงขั้นอยากจะปิดเพจด้วยซ้ำ

“พอโดนเอง แรกๆ อึ้งไปเลย ไม่อยากพูดกับใคร ร้องไห้ด้วยนะ มันมีผล กูไปทำอะไรให้มึง ทำไมต้องด่าแรงขนาดนี้ ช่วงแรกๆ แนนนั่งไล่อ่านคอมเมนต์หมดทุกคอมเมนต์เลย ไม่ว่าในเพจตัวเอง พวกเว็บต่างๆ บอกทำไมไม่แต่งตัวให้มิดชิดบ้าง อ๋อ ใช่สิ ก็ผอมนี่ ก็หุ่นดีนี่ อ้าว ทำไมล่ะ ก็ฉันเป็นคนดูแลตัวเอง ฉันเข้ายิม ฉันยกเวท กินอาหารระมัดระวัง ฉันทำทุกอย่าง เพื่อที่จะไปใส่บิกินีแล้วสวย แล้วไง มาด่าฉันขนาดนี้ทำไม ซึ่งจริงๆ คอมเมนต์แย่มาก แล้วมีคอนเมนต์ที่ด่าว่าโตมายังไง ซึ่งช่วงนั้นจะโกรธมาก เราไม่เคยถูกแรงโซเชียลขนาดนี้ เราก็เป็นแค่คนธรรมดา ตอนนั้นเรารับไม่ได้ จะปิดเพจ เลยลองดราม่าในเพจตัวเองดู ขอโทษนะทุกคน ไม่อยากทำแล้ว"

ตอนนั้นเธอคิดว่าทุกคนเกลียดเธอ แต่แล้วก็มีกำลังใจมาจากคนที่อยู่ในเพจ ‘พี่แนนซี่ทำต่อเถอะ รู้มั้ยหนูไปเที่ยวตามพี่แนนซี่มา สนุกมาก’

“ตรงนี้ทำให้เรามีกำลังใจ จากหลังมือเป็นหน้ามือเลย ทำให้เราเริ่มขยันขึ้น เริ่มสร้างคอนเทนต์ และกลายเป็นที่มาของเรื่อง ทำไมคนไทยไม่ยอมใส่บิกินี มันแว้บขึ้นมาเลย ต้องเขียนให้คนไทยรู้ว่า เฮ้ย ยูมาทะเลนะเว้ย ยูจะมาใส่เสื้อคอตตอนแล้วก็อับเหม็นชื้นเน่าอยู่อย่างนั้นเหรอ บิกินีมันออกแบบมาเพื่อไปทะเล ก็เป็นความคิดของแนน เราก็ไม่ได้ไปตัดสินคนอื่น แต่หนูว่าในแบบของหนูมันโอเค ย้อนคิดไปว่า ก็ดูคนที่มาด่าสิ เธอไม่ดูแลตัวเองเลย เราก็ปล่อยเขาไปเถอะ มีดราม่าเยอะ มันก็ทำให้หนูเข้มแข็งขึ้น กลายเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้ว ตอนนี้ถ้าเกิดจะด่า มันจะมีจุดที่เราต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ ตอนนี้ก็จะสบาย”

ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ร่าเริงสดใสเอามากๆ ทำยังไงเราถึงจะแฮปปี้แบบนี้ได้บ้าง

เธอหัวเราะ “ไม่รู้ มันเป็นเอง เพราะเป็นคนไม่อยากซึมซับความเศร้า รู้สึกไม่โอเค รู้สึกว่าเราสามารถรับรู้ความรู้สึกของการเป็นทุกข์ การไม่มีความสุขได้นะ แต่เราอย่าไปอยู่กับมันนาน เพราะว่าความสุขมันมีความสนุกมากกว่า คือเวลาแนนเศร้า แนนจะเศร้าไม่นาน แต่ร้องไห้ได้นะ ไม่ได้บอกว่าร้องไห้ไม่ได้ ร้องมาเลย ระบายออกมาเลย แต่ว่ามันก็จะมีจุดที่ช่างแม่ง แล้วก็ไปสนุกดีกว่า"

อยากไปเห็นโลก ไปเข้าใจโลกให้ครบ มันคือแรงผลักดัน แรงบันดาลใจในชีวิตของเธอ นี่แหละครับ ความแฮปปี้ในแบบของแนนซี่



ทำไมคนไทยไม่กล้าใส่บิกินี ??

1. อ้วน อ้วนแล้วไง แคร์คนอื่นทำไม ความสุขเรา ซื้อมาตัวตั้งแพง ใส่ไปเหอะอีผี อวดโลกไป
2. ตูดลาย แก เราก็ลาย แต่จะบอกว่าพอผิวแทนแล้วความลายมันเห็นไม่ชัดเท่าขาวว่ะ
3. ใส่แขนยาวขายาว หมวกคลุมหน้าไปทะเล อืม อันนี้นอนตากแอร์อยู่บ้านไปเถอะแม่คุณ มันไม่โอเคนะ ร้อน แล้วก็ดูผิดตามาก อย่าทำเลย
4. นมแบน เออ ปัญหาโลกแตก แต่เชื่อป่าว นมแบนๆ ใส่ไรก็ไม่โป๊นะ 55555
5. เขิน อาย สำคัญสุด เราถูกปลูกฝังให้แต่งตัวมิดชิด แต่ยูวว!! นี่ทะเลนะ เดี๋ยวก็เปียก เปียกละกว่าจะแห้ง บิกินีมันออกแบบมาเพื่อเปียกและแห้งไว ไม่ต้องเขิน เราทุกนางสวย สวยในแบบของเรา ไปค่ะ
ตอนนี้เป็น High Season ของฝั่งอันดามัน ลุยดิ ไปแก้ผ้าที่ทะเลกัน!!!!!!

(จากเพจ HappyNancy 27 พฤศจิกายน 2559)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook