เลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูกคุณ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูกคุณ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูกคุณ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เด็กไทยที่เรียนในโรงเรียนนานาชาติจะไม่สามารถเขียนอ่านภาษาไทยได้ เพราะโรงเรียนนานาชาติจะให้ความสำคัญกับภาษาไทยน้อย จุดอ่อนของโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่ คือวัฒนธรรมและการแสดงออกที่ค่อนข้างเป็นฝรั่งโดย ดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์

ในยุคที่การสื่อสารข้ามพรหมแดนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน และจะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ คุณพ่อ คุณแม่ ในหลายครอบครัว จึงมีความคิดส่งลูกหลานเข้าศึกษาในโรงเรียนนานาชาติให้ได้มากที่สุดเท่าที่สภาพเศรษฐกิจของครอบครัวเอื้ออำนวย ขณะที่โรงเรียนเองก็มีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อรองรับกับความต้องการนี้ จึงทำให้ครอบครัวในประเทศไทย มีทางเลือกมากขึ้นในการส่งเสริมและสนับสนุนลูกหลาน ให้มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ตั้งแต่วัยอนุบาลโดยไม่ต้องเดินทางต่างประเทศ เพิ่มโอกาสให้ครอบครัวไทยมากขึ้น

สำหรับระบบการศึกษานานาชาติในประเทศไทยมี 3 หลักสูตรใหญ่ที่แตกต่างกัน คือ
1. หลักสูตรอังกฤษ (British National Curriculum) ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด
2. หลักสูตรที่จัดทำโดยองค์กรเอกชน หรือ International Baccalaureate (IB)
3. หลักสูตรอเมริกัน

หลักในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เด็กไทย

อนุบาลเด่นหล้าอลิสัน เทอร์เนอร์ อาจารย์ใหญ่ Denla British School
คุณอลิสัน เทอร์เนอร์ อาจารย์ใหญ่ของ Denla British School แนะนำเทคนิคในการเลือกโรงเรียนนานาชาติมาให้เหล่าคุณแม่ด้วย ดังนี้

1. มองเป้าหมายของลูกและของครอบครัวเป็นอันดับแรก
พ่อแม่ต้องถามตัวเองว่าอยากให้ลูกเป็นผู้ใหญ่แบบไหนเมื่อเรียนจบ อยากให้ลูกเรียนต่อต่างประเทศและเติบโตเป็นประชากรของโลกหรืออยากให้อยู่ในเมืองไทยเหมือนพ่อแม่ รวมทั้งคำนึงถึงประเทศที่ต้องการจะส่งลูกไปเรียนต่อ เพราะแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน จึงควรเลือกระบบที่สามารถปูพื้นฐานให้ลูกได้
2. เลือกโรงเรียนที่ตรงกับเป้าหมายข้างต้น
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับจุดยืนของโรงเรียน และเลือกโรงเรียนที่มีแนวคิดตรงกับเป้าหมายของคุณ อย่าเลือกโรงเรียนแล้วคาดหวังว่าโรงเรียนจะเหมาะกับลูกของคุณ เพราะโรงเรียนต้องหนักแน่นในปรัชญาของตัวเองเช่นกัน
3. เข้าไปดูโรงเรียนเพื่อดูวิธีการสอน
นอกจากจะดูสิ่งอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์การเรียนที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของลูกแล้ว พ่อแม่ควรเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน รวมทั้งดูวิธีการสอนของครูด้วย การเรียนการสอนที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกัน โดยครูจะเป็นผู้ที่ปลดล็อกการเรียนรู้ และเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน การมีส่วนร่วมจะทำให้นักเรียนรู้สึกสบายใจในการเรียน มีความภาคภูมิใจในตัวเอง คิดบวก ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอนุบาลเด่นหล้าดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ (นั่ง) และ ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ (ยืน) ผู้บริหารโรงเรียนเด่นหล้า

ดร.ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ ผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า สาขาเพชรเกษม และ Denla British School (DBS) กล่าวว่า แม้ว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติจะช่วยให้เด็กสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนเจ้าของภาษา แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะวิธีคิดและการแสดงออกที่อาจจะไม่สอดคล้องกับสังคมนอกโรงเรียน โดยเฉพาะกับครอบครัว
อนุบาลเด่นหล้า

สำหรับ  Denla British School  เป็นโรงเรียนที่สร้าง “เด็กไทยที่มีความเป็นสากล” คือมีทั้งทักษะภาษาอังกฤษ ความกล้าแสดงออก และความคิดสร้างสรรค์อย่างชาวตะวันตก แต่ยังคงมีรากฐานของวัฒนธรรมไทย

หลักสูตรของ Denla British School ที่นำมาใช้สอนนักเรียน เรียกว่า “Enhanced English National Curriculum” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 แกนหลักของโรงเรียน ได้แก่

1. Enhanced English National Curriculum: การเสริมกิจกรรมอย่างรอบด้านผ่านชั่วโมงกิจกรรมหลังเลิกเรียนตามแบบโรงเรียนเอกชนในอังกฤษ ทั้งการเล่นกีฬาเป็นทีม การเล่นดนตรีเป็นวง การแสดงละครเวที
2. วิชาการ: การเพิ่มชั่วโมงการเรียนรู้ทางวิชาการให้สมดุลกับกิจกรรม ให้เด็กได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ เพราะมีเวลาเรียนและเวลาทำกิจกรรมมากขึ้น
3. ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ: การสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นผู้ประกอบการ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าหาญในการตัดสินใจและลงมือทำ การค้นพบตัวเอง และความรักในงานที่ทำ ผ่านกิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่างๆ
4. ภาษาและวัฒนธรรมไทย: การสอนทักษะภาษาไทยและวัฒนธรรมไทย เน้นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันให้อ่านออกเขียนได้ รวมทั้งส่งเสริมเรื่องวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง โดยเฉพาะรากฐานของวัฒนธรรมไทยที่น่าชื่นชม เช่น ความมีน้ำใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน สัมมาคารวะการเคารพผู้ใหญ่ และพระพุทธศาสนา

อนุบาลเด่นหล้า

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักสูตรและเทคนิคที่น่าสนใจมากมาย แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คือ “ตัวตน” ของลูกคุณ เพราะฉะนั้น ควรพิจารณาลักษณะนิสัยและความชอบของลูก ควบคู่ไปกับการตัดสินใจเลือกโรงเรียนด้วย เพราะเด็กๆ จะเรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่มีความสุข ไม่กดดันหรือเครียดจนเกินไป Sanook! Women ก็ขอเอาใจช่วยทั้งคุณแม่และคุณลูกทุกคนนะคะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook