โดโรธี เพ็ทโซลด์ ความงดงามที่แตกต่างคือความภูมิใจในความเป็นตัวของเราเอง

โดโรธี เพ็ทโซลด์ ความงดงามที่แตกต่างคือความภูมิใจในความเป็นตัวของเราเอง

โดโรธี เพ็ทโซลด์ ความงดงามที่แตกต่างคือความภูมิใจในความเป็นตัวของเราเอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Woman We Love - AROUND THE WORLD WITH DOROTHY PETZOLD
เรื่อง : ณัฐพล ศรีเมือง
ภาพ : กิตตินันท์ จรรยางาม



โดโรธี เพ็ทโซลด์ สาวลูกครึ่งเยอรมัน-ไทย คือหนึ่งในตัวแทนจากประเทศไทย ผู้เข้าร่วมแข่งขันในรายการ Asia’s Next Top Model Cycle 5 รายการเรียลิตี้โชว์เพื่อค้นหาสุดยอดนางแบบซึ่งออกอากาศทั่วเอเชีย แม้จะถูกคัดออกในรอบ 8 คนสุดท้ายจากทั้งหมด 14 คน แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสำหรับเธอแล้ว

ขณะที่รายการซึ่งถ่ายทำที่สิงคโปร์กำลังออกอากาศ เราเห็นในอินสตาแกรมส่วนตัวว่าเธออยู่ที่ตุรกี และเมื่อได้ติดต่อกันอีกทีเธอก็ไปอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว นั่นทำให้เราคิดว่า เธอต้องมีเรื่องราวการเดินทางที่น่าทึ่งแน่ๆ

ตัดภาพมาอีกที ในที่สุดเราก็ได้เจอกับเธอที่กรุงเทพฯ เธอเพิ่งบินกลับจากนิวยอร์กหมาดๆ ยังมีอาการเจ็ตแล็กหลงเหลือเล็กน้อย แต่ก็พร้อมเต็มที่สำหรับการทำงาน มันทำให้เรานึกถึงคำที่เธออธิบายตัวเองไว้ในคลิปแนะนำตัวของเว็บไซต์รายการ คือ Fun และ Energetic สนุกและมีพลัง ไม่ใช่เฉพาะบุคลิกของเธอ แต่เรื่องเล่าของเธอก็เช่นกัน!

ภูเก็ต
บุคลิกและการพูดจาที่ดู ‘ฝรั่ง’ มากๆ ของเธอในรายการ Asia’s Next Top Model Cycle 5 อาจทำให้หลายคนที่เพิ่งรู้จักคิดว่าโดโรธีพูดภาษาไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่จริงๆ แล้วเธอพูดและอ่านเขียนภาษาไทยได้

ถึงอย่างนั้นภาษาแรกที่เธอพูดได้ก็คือภาษาอังกฤษอยู่ดี เธอเพิ่งมาพูดไทยได้ตอน 7 ขวบ ซึ่งเวลาเราคุยกับเธอเป็นภาษาไทย เธอก็มักจะพูดภาษาอังกฤษผสมปนเปกันไป แล้วแต่ว่าภาษาไหนจะไวเท่าความคิด

โดโรธี เพ็ทโซลด์ หรือ ‘โด’ เกิดและโตที่ภูเก็ต เธอใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่ เพราะว่าคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่เธออายุ 6 ขวบ เธอกับคุณแม่สนิทกันเหมือนเป็นพี่น้อง อยู่ด้วยกันตลอดเวลา คุยกันได้ทุกเรื่อง แม่ไม่เคยทำให้รู้สึกเหมือนขาดอะไร ส่วนคุณพ่อชาวเยอรมันนั้นเธอไม่รู้สึกผูกพัน

“หลังจากแยกทางกับคุณแม่ คุณพ่อก็ไม่เคยติดต่อโดเลย แล้วก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร นานๆ ทีได้คุยบ้าง แต่ว่าไม่เคยสนใจ เขาเคยเขียนมาหา บอกว่าไอจะมาหายูนะ ยูไปรอที่สนามบิน ประมาณ 5-6 ครั้งโดไปรอที่สนามบิน แต่คุณพ่อไม่เคยมาเลย โดไปรอเก้อ เราก็ไปเช็กที่สายการบินว่า มีคนชื่อนี้มั้ย เขาบอกว่าได้บุ๊คตั๋วจริง แต่ว่าไม่เคยขึ้นเครื่องเลย โดก็เลยรู้สึกว่า ทำไมยูทำให้เราผิดหวังแบบนี้ ในฐานะพ่อ คุณควรจะสนใจเรามากกว่านี้หรือเปล่า แต่โดก็มองว่ามันก็เป็นการตัดสินใจของเขา”

นั่นคือเหตุผลที่ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่งเยอรมัน แต่เธอไม่เคยพูดภาษาเยอรมัน และไม่เคยไปเยอรมนีเลย

โดโรธีเด็กสาวชาวเกาะ บ้านอยู่ติดทะเลสิบนาที ไปทะเลบ่อยอาทิตย์ละสามสี่รอบ เบื่อๆ ก็ชวนแม่ไปทะเล ไปดูพระอาทิตย์ตก เธอเป็นคนชอบธรรมชาติ “สีผิวก็เลยเป็นแบบนี้ไงล่ะ” เธอหัวเราะ

ตอนเด็กๆ เธออยู่โรงเรียนขจรเกียรติศึกษา จากนั้นย้ายไปโรงเรียนสตรีภูเก็ต แล้วใช้วิธีสอบเทียบจนจบมัธยม ตอนนี้เธอหยุดการเรียนในระบบไว้แล้วออกมาใช้ชีวิต ทำงาน และค้นหาตัวเอง

“ตอนอยู่ ม.4 โดไม่อยากอยู่ในกล่องแล้ว ต้องตื่นหกโมงเช้าทุกวัน เสร็จตอนห้าโมงเย็น โดไม่ชอบค่ะ รู้สึกเป็นไซเคิลที่เหมือนมีคนยื่นมาบอกว่า ยูต้องทำแบบนี้นะ ก็ทำ ใช้ชีวิตมัธยม มหา’ลัย ไปเรียนเหมือนเป็นหุ่นยนต์ โดคิดว่าไม่ใช่ โดชอบอะไรที่แตกต่าง เลยคิดว่าจะลาออก ม.4 แล้วไปเรียนเทียบเพื่อมีเวลาให้ตัวเองมากกว่า โดคิดว่านั่นสำคัญกว่าการที่ใช้ชีวิตไปเรียนทุกวัน เพราะว่าสมัยนี้เราเรียนที่ไหนก็ได้ สามารถเรียนทางคอมพิวเตอร์ก็ได้ คิดว่าอย่างนั้นง่ายกว่าสำหรับโด”

ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มทำงานหาเงินได้ตั้งแต่อายุ 15-16 เนื่องจากพอคุณแม่แยกทางกับคุณพ่อ คนที่เข้ามาซัพพอร์ตครอบครัวก็คือคุณป้า ส่วนคุณแม่นั้นเป็นแม่บ้าน ส่วนหนึ่งก็เพราะมีปัญหาสุขภาพด้วย

“ได้เงินมาก็ให้คุณแม่หมดเลย เพราะว่าโดไม่อยากพึ่งคนอื่น ตอนคุณพ่ออยู่คุณพ่อซัพพอร์ต พอคุณพ่อไม่อยู่ เราไม่เหลืออะไร ก็มีคุณป้ามาซัพพอร์ตอีก แล้วถ้าคุณป้าไม่อยู่ เราก็ไม่เหลืออะไรอีก โดก็คิดว่าเราต้องทำงานให้ตัวเอง มันน่าภูมิใจกว่า เราไม่ต้องพึ่งคนอื่น”

เธอลองทำมาหลายอย่าง ตั้งแต่แจกใบปลิว หรือทำงานออฟฟิศเป็นพีอาร์คอยรับสายทัวริสต์ หลักๆ ที่ได้งานเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษได้ และโตเร็วกว่าอายุ สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนได้

“ตั้งแต่เด็กๆ โดลอง อยากรู้ตัวเอง เคยไปทำไอทีแต่ยากมาก ไม่ชอบ ไปเป็น Personal Assistant อยู่ในออฟฟิศ โทรฯ หาคนโน้นคนนี้ ยาก ไม่เอา (หัวเราะ) โดอยู่ในกล่องไม่ได้ เป็นคน Eenergetic ให้นั่งอยู่นิ่งๆ หน้าคอมพ์ไม่ได้ ต้องเจอผู้คน ออกไปคุยกับคนอื่น”

แต่ก่อนหน้านั้นเอง ตอนอายุ 14 มีคนมาเห็นแววนางแบบของเธอ และชักชวนทำงานถ่ายแบบแล้ว

“จริงๆ แล้วโดโตมาแบบไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ไม่รู้ว่าความฝันคืออะไร เราอยากเป็นอะไรนะ โดไม่รู้เลย ก็เลยคิดว่าอยากจะลอง ใครยื่นข้อเสนออะไรมาเราก็ลอง อันแรกที่ได้คือการเป็นนางแบบ ลองทำแล้วก็รู้สึกว่าชอบ”

เธอเล่าว่างานนางแบบที่ภูเก็ต ไม่ได้เป็นงานโปรเฟสชันนัลเหมือนในกรุงเทพฯ ส่วนมากเป็นงานท่องเที่ยว ถ่ายบนเรือ โปรโมตเรือ ดำน้ำ ดูปะการัง ไม่ก็โรงแรมซึ่งเยอะมาก หรือเป็นงานถ่ายแบรนด์ของฝรั่งที่บินมาภูเก็ตแล้วติดต่อเข้ามา
นอกจากเป็นนางแบบแล้ว ตอนอายุ 17 เธอยังได้เข้าสู่สายนางงามด้วย เมื่อชนะการประกวด Mizsy Phuket 2014 ซึ่งทำให้มีงานเข้ามาเยอะขึ้นอีก ณ จุดนั้นเธอจึงรู้สึกว่า เธอเต็มที่กับภูเก็ตแล้ว และภูเก็ตดูเหมือนจะเล็กเกินไปเสียแล้ว

“โดเชื่อว่าทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราเอง ก็คิดว่าอยากจะไปไกลกว่านี้ ลุคของเราน่าจะอินเตอร์ดีกว่าหรือเปล่า เพราะว่าผิวสีแทน ฝรั่งชอบ ต่างประเทศน่าจะโอเค แล้วโดก็อยากเดินทาง เป็นคนชอบท่องเที่ยว ชอบเห็นอะไรต่างๆ โดยเฉพาะธรรมชาติ”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นการเดินทางของเธอ

 

ฟิลิปปินส์, เวียดนาม
เธอพยายามหาเอเยนซี แต่ว่าก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยส่งผลงานไปที่ไหนเลยเพราะไม่กล้า คิดว่าเธอต้องมากกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ กระทั่งวันหนึ่งก็มีเอเยนซีหนึ่งเขียนมาหา โดยรู้จักเธอจากรูปผ่านเพื่อนของเธอ

“เขาเขียนมาว่ายูสนใจจะไปหรือเปล่า เราจะเดินทางไปประเทศหนึ่ง แล้วยูก็มีสัญญาอยู่กับเอเยนซี มีงานทำ เราก็โอเค ลองไปดีกว่า บ๊ายบาย เพราะว่าเราก็พอแล้ว เบื่อ โดเป็นคนไม่ชอบอะไรจำเจด้วยแหละ ก็เลยไปอยู่ฟิลิปปินส์ 4 เดือน อยู่ในเอเยนซีที่เป็น TVC แต่ว่าฟิลิปปินส์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบผิวคล้ำ แล้วลุคของโดเหมือนเป็นโลคัล เวลาไปอยู่ที่โน่นเขานึกว่าโดเป็นฟิลิปปินส์ โลคัลของเขาก็เหมือนคนไทย ชอบผิวขาว แต่ว่าโดก็มีงานทำ ถ่ายแบบให้กระเป๋า มีบิลบอร์ดอยู่ที่นั่น ยังอยู่จนทุกวันนี้ (หัวเราะ)”

ตอนนั้นเธอสอบเทียบจบมัธยมและอายุครบ 18 แล้ว จริงๆ เธออยากจะเดินทางตั้งแต่ก่อน 18 ด้วยซ้ำ แต่เอเยนซีไม่ให้เดินทาง บอกรอให้ 18 ก่อน จะได้ไม่เป็นปัญหาสำหรับการเข้าประเทศอื่น ว่าทำไมเป็นเด็กถึงเดินทางคนเดียว

“คุณแม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่ โดบอกคุณแม่ตั้งแต่แรกแล้วว่า โดไม่ชอบอะไรที่เป็นแบบ Walking Around Blind ใครบอกคุณต้องไปไฮสกูล คุณต้องเข้ามหา'ลัย 4 ปีนะ หลังจากนี้ทำงานไปตลอดชีวิต แล้วคิดว่ายูอายุ 50 ยูทำงานเหนื่อยแล้ว มีตังค์ ยูเอาตังค์ไปทำอะไรล่ะ เพราะยูก็แก่ทำอะไรไม่ได้ โดก็คิดว่ามันไม่โอเคที่จะติดอยู่ในมหา’ลัย บอกแม่ว่า โดรู้ว่าถึงวันหนึ่งความสวยมันไม่ยั่งยืนหรอก เป็นนางแบบ แต่มันก็ไม่สายเกินไปถ้าเราจะเรียน โดไม่อยากให้กระดาษแผ่นเดียวมากำหนดชีวิต”

ก่อนไปฟิลิปปินส์ เธอไม่เคยเดินทางคนเดียวมาก่อน ต่างประเทศเคยไปสองครั้งตอนทำงานเก็บเงินได้และพาแม่ไปเที่ยวบาหลีกับมาเลเซีย (ไม่นับตอนเด็กๆ ที่แม่เคยพาไปออสเตรเลียแต่เธอจำอะไรไม่ได้) เด็กสาววัย 18 ที่อยู่กับแม่ตลอดเวลา เวลาไปทำงานมีแม่ไปนั่งเฝ้าตลอด ออกไปเผชิญโลกกว้างคนเดียวอย่างแท้จริง

“เอาจริงๆ โดก็งงเหมือนกันค่ะว่า เราคิดได้ยังไง เคยอยู่กับคนอื่นตลอดเวลา มีคนไปด้วย ไม่เคยอยู่คนเดียว จู่ๆ วันหนึ่งฉันทิ้งทุกอย่างไป แต่คือก่อนที่จะออกมา โดเหมือนใช้ชีวิตวนเวียน เพราะภูเก็ตมันก็เล็ก โดใช้ชีวิตแบบถ้าไม่ทำงานเราก็อยู่บ้าน อยู่บ้านก็ไปทะเล คิดว่าชีวิตยังมีอะไรมากกว่านี้ โลกมันกว้างมาก เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า

“ตอนแรกโดก็คิดว่าเรามากรุงเทพฯ ดีกว่ามั้ย มาลองทำงานกรุงเทพฯ หรือจะไปฟิลิปปินส์ มีสองทางเลือก ก็คิดว่าไปฟิลิปปินส์น่าจะดีกว่า เพราะว่าเมืองไทยเป็นบ้านของเรา เรากลับมาได้ ฟิลิปปินส์เป็นโอกาสใหญ่เหมือนกันที่เราก็คว้าไว้ คิดกลับไปตอนนี้ เราบ้าเนอะ คิดได้ยังไง พาตัวเองบินออกไปจากประเทศ ไม่รู้จักอะไร ไม่รู้จักใครเลย แต่โดชอบอะไรท้าทาย ก็เลยไป ตอนแรกกลัวมาก (หัวเราะ) แต่ว่าพอเข้าไปอยู่ในบ้าน เขามีบ้านมีทุกอย่างให้ และก็มีนางแบบคนอื่นๆ เราก็ปรับตัวได้”

หลังจากอยู่ฟิลิปปินส์ 4 เดือน เธอกลับบ้านมาเยี่ยมแม่ แล้วเอเยนซีก็ยื่นสัญญามาให้อีกที่หนึ่ง คราวนี้ไปเวียดนาม

สัญญาที่เวียดนามเดือนครึ่ง เธอไปอยู่ที่นั่นได้สัก 10 วัน ก็มีออดิชั่นรายการ Asia’s Next Top Model Cycle 5 เธอเป็นแฟนรายการนี้อยู่แล้ว และคิดว่าน่าสนใจจึงลองดู แต่จำนวนผู้สมัครหลายพันคนทำให้คิดว่าคงไม่ได้หรอก เธอก็ทำงานของเธอไปที่เวียดนาม จนเกือบเดือนผ่านไปก็ได้รับการติดต่อกลับมาว่า เธอติด 1 ใน 14 ผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งปรากฏว่าสร้างความโกลาหลให้เธอพอสมควรทีเดียว

“เราก็ตกใจ อยู่ต่างประเทศ ไม่มีอะไรเลย ต้องวิ่งหาเสื้อผ้าทุกอย่างเพื่อการประกวด เพราะเขาให้ลิสต์มาว่าต้องมีโน่นมีนี่ โดก็คิดว่าจะไปดีมั้ย เพราะว่ามีเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ในการเตรียมตัว ตอนแรกเขาบอกว่าจะบอกล่วงหน้าสองอาทิตย์ ถ้าติด แต่เขาบอกช้าหรือไงไม่รู้ รู้ล่วงหน้าอาทิตย์เดียว วุ่นวายกับทุกอย่าง หัวหมุน ไม่พร้อมเลย แล้วนี่ไม่ใช่ประเทศเรา เราไม่รู้อะไรเลย คนไม่พูดภาษาอังกฤษ เหตุการณ์มั่วมาก คือตอนแรกโดอยู่ฮานอย แล้วเอเยนซีให้บินไปรับงานที่โฮจิมินห์ อยู่โฮจิมินห์ได้หนึ่งอาทิตย์ เอเยนซีกลับบอกว่าจะย้ายเราไปอยู่ที่นั่นเลย โดยที่กระเป๋าใหญ่โดอยู่ฮานอย แล้วไปรู้ที่โฮจิมินห์ว่าติด เลยต้องกลับไปเอากระเป๋าใหญ่ซึ่งยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย ซื้อของทุกอย่างที่ฮานอย แล้วบินต่อไปสิงคโปร์ เป็นเหตุการณ์ที่อยากจะร้องไห้ (หัวเราะ) ไม่รู้จะทำยังไง เหมือนเป็นบททดสอบ แต่ก็เอาวะไปก็ไป”

ยังอยู่ไม่ครบสัญญาที่เวียดนาม แต่เธอก็จำเป็นต้องขอยกเลิก เพื่อบินไปร่วมรายการ Asia’s Next Top Model ที่ประเทศสิงคโปร์

 

สิงคโปร์
“ไปถึงปุ๊บ ก็กลัวอีกเหมือนกันค่ะ เพราะว่าตัวคนเดียวอีกแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้” โดโรธีเล่าต่อ “เขาก็มารับที่สนามบิน พาเราไป ห้ามคุยกับใครเลย แล้วก็เปิดห้องให้อยู่คนเดียวก่อน อยู่คนเดียวก็กลัว (หัวเราะ) ไม่รู้เลยว่าเราทำอะไรอยู่ ไปจากเหตุการณ์ที่มั่วซั่ว เสร็จปุ๊บเริ่มถ่าย โอเค Spontaneous นี่แหละที่เราต้องการ เพราะว่าตอนอยู่ภูเก็ตเบื่อมาก วนเวียน อยากได้อะไรที่แอดเวนเจอร์ ก็เป็นอะไรที่เราอยากได้เอง นี่คือการผจญภัย ก็สนุกดี ชีวิตมีสีสัน”

เธอบอกว่าความรู้สึกตอนอยู่ในรายการ ต่างจากตอนที่เคยเห็นข้างนอกในมุมของแฟนคลับ คิดไว้แบบหนึ่ง แต่พอไปอยู่จริงๆ เป็นประสบการณ์ต่างจากที่คิดไว้

“เราต้องแข่งกับอีก 13 คนนะ เราต้องพร้อมต่อกล้องตลอดเวลา กล้องอยู่ทุกที่ เราต้อง proper ตลอดเวลา พลาดไม่ได้ เพราะว่าถ้าพลาดเราก็หลุด เป็นอะไรที่ยาก ตอนแรกเข้าไปเราก็เหมือนกับเป็นเพื่อนกันมากเลย Ep แรกทุกคนร้องไห้หมด เพราะว่าอยู่ด้วยกันมา 14 คน ร่วมชะตาเดียวกัน ไม่รู้อะไรเลยมาอยู่ด้วยกัน เริ่มสนิทกัน พอคนหนึ่งต้องออก ก็กลายเป็นว่า มันจริงแล้วนะ นี่คือการแข่งขัน มันไม่ใช่การที่เรามาเล่นหรือมาเมคเฟรนด์ หนึ่งคนต้องกลับบ้านทุกอาทิตย์ คือก็มีความเชือดเฉือนด้วยเพราะเป็นการแข่งขัน แต่ว่าเราก็เมคเฟรนด์ไปในเวลาเดียวกัน มันทั้งสองอย่าง บางทีเราก็แบบ นี่มาคุยกับฉันต้องการอะไรหรือเปล่า เป็นอะไรที่สับสน ต้องแยกฟีลลิ่งให้ได้ (หัวเราะ)”

เราตั้งข้อสังเกตว่าในรายการเธอดูเหมือนเป็นคนพูดตรงๆ แรงๆ

“เอาจริงๆ แล้ว โดไม่ใช่คนแรงนะ แต่ว่าดูจากคนอื่นแล้วเหมือนกับเขาไม่ค่อย Express หรือว่าอันนี้เป็นบุคลิกของโดไม่รู้ เพราะว่าโดเป็นคนชอบพูด แล้วเวลาพูดโดจะเป็นคนพูดกับสีหน้า ตอนอยู่โรงเรียนมีปัญหามาก เพราะว่าถ้าไม่ยิ้ม โดก็ดูเหมือนคน Bitchy แต่จริงๆ แล้วโดไม่มีอะไร โดแค่หน้าแบบนี้ (หัวเราะ) แล้วเวลาพูดก็ใช้สีหน้าในการพูด แล้วโดหยุดไม่ได้ด้วย มันเหมือนเป็นอะไรที่อยู่บนหน้าอยู่แล้ว เวลาพูดโดก็พูดๆๆ ไป ไม่ได้มายด์อะไร เราอยาก Express เราอยากทำให้เต็มที่ที่สุด”

อย่างไรก็ตาม เธอรู้อยู่เต็มอกว่า รายการนี้ 4 ซีซั่นที่ผ่านมา คนไทยชนะแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งซีซั่นก่อนก็เป็นคนไทย เธอจึงคิดว่าปีนี้จะเป็นคนไทยอีกคงยาก ถึงอย่างนั้นเมื่อต้องถูกคัดออกจากรายการ เธอก็ยังรู้สึกผิดหวังและร้องไห้

“พอจะออกรู้สึกเศร้า บางทีเราควรจะพยายามมากกว่านั้นหรือเปล่า นึกในหัว ฉันควรจะทำอย่างนี้นะๆ มากกว่านั้น คือรู้สึกว่ามีคนเชียร์เยอะมาก แล้วเราเป็นคนไทยคนสุดท้าย คนแรกออก เหลือโด เราทำให้เขาผิดหวังหรือเปล่า แต่ว่าไทยแลนด์ชนะมาสองครั้งแล้ว ก็โอเค ให้คนอื่นได้บ้าง (หัวเราะ) จริงๆ อยากให้ตัวเองไปไกลกว่านั้น แต่โดก็คิดว่า ถ้าสี่ห้าพันคน หมื่นคนมาแคสต์ แล้วยูเป็น 1 ใน 14 ที่ได้ ยูก็เป็นวินเนอร์ แล้วเป็นตัวแทนของประเทศสองคน ก็เป็นวินเนอร์ของประเทศ อย่างน้อยที่สุดเราได้ก้าวเข้ามา โดไม่ค่อยมองอะไรเป็น Failure เพราะรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นเพราะบางอย่าง มีเหตุผลของมัน ไม่ใช่ Failure เป็นแค่ประสบการณ์หนึ่งในชีวิต เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ที่ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าทุกอย่างไม่ใช่เป็นของยูได้”

ที่สุดแล้วรายการนี้เปลี่ยนตัวคุณไปอย่างไรบ้าง เราถามโดโรธี

“คิดกลับไปก็เป็นโอกาสที่ดี ถึงแม้เราจะ Bitcher ทำไมฉันออก ทำไมเป็นแบบนี้ หาข้อบกพร่องมาพูด แต่พอผ่านทั้งหมดมาแล้ว มองกลับไป มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้โดโตขึ้น โดไม่เคยทำงานกับทีมงานใหญ่ๆ ไม่เคยทำงานกับทีวี ไม่รู้ว่าเป็นยังไง เราเคยมองจากข้างนอกเป็นคนดู แต่คราวนี้เราเป็นคนที่อยู่ข้างในเอง เป็นสิ่ง ที่เราได้เรียนรู้ เมนเทอร์ทุกคนก็สอนเราหลายๆ อย่าง ซึ่งเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

“แล้วจากโชว์นี้ ทำให้รู้ตัวเองว่า นอกจากเราเป็นโมเดลได้ เราน่าจะเป็นทีวีโฮสต์ได้ เป็นนักแสดงได้ เพราะว่าโดเป็นคนพูดเยอะ คนที่สัมภาษณ์ก็จะฟังๆๆ มีครั้งหนึ่งเขาถาม ยูไม่คิดอยากจะเป็นนักแสดงบ้างเหรอ เราก็คิด ถ้าคนสัมภาษณ์ถามเราแบบนี้ แสดงว่าเขาเห็นบางอย่าง โดก็คิดว่า โอเค บางที เป็นไปได้ แล้วพอโดกลับมาดูตัวเอง โดก็คิดว่า เออ เราก็อินกับตัวเองเหมือนกัน สนุกดีนะ นี่ใครเนี่ย (หัวเราะ)”

เราเล่าให้เธอฟังว่าตอนนี้นางแบบรุ่นใหม่หลายคนก็ผันตัวเองไปเป็นนักแสดง

“โดคิดอย่างนั้นเหมือนกัน การเป็นนางแบบ นางแบบเยอะมากในโลกนี้ การที่โดเดินทาง ก็ได้เห็น การแข่งขันเยอะมาก ทีวีก็มีการแข่งขันเยอะ แต่ว่าเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะว่านางแบบแคสติ้งที 100 คน ก็มีโอกาสแค่ 1 ใน 100 แต่ถ้าเราอยู่ในทีวี เราเป็น Someone เราก็เป็นเรา ไม่ใช่ 1 ใน 100 ก่อนหน้านั้นโดไม่เคยลองแสดงเลย แต่ว่าจะชอบพวกงานถ่ายวิดีโอ เพราะว่าได้มูฟ ได้ขยับ ส่วนการพูด ตอนเด็กๆ เป็นคนกลัวไมค์มาก เลยไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ พอลองดูก็รู้สึกว่าชอบ ไม่รู้สิ โดชอบทำงานกับกล้อง รู้สึกทำแล้วแฮปปี้”

แม้จะจบลงกลางทางสำหรับ Asia’s Next Top Model แต่การค้นพบตัวเองนั้น น่าจะมีค่ายิ่งสำหรับเธอแล้ว

 

ตุรกี, นิวยอร์ก
ได้สัญญานางแบบอีกครั้งที่ตุรกี เธออยู่ที่นั่น 2-3 เดือน เสร็จแล้วชั่งใจอยู่ว่าจะกลับไทยหรือไปนิวยอร์ก

“เพื่อนบอกว่าทำไมไม่มานิวยอร์กล่ะ เราก็คิดว่านิวยอร์กละกัน คนอาจหัวเราะ แต่โดมีความฝันที่ใหญ่กว่าที่นี่ ก็เลยไปลองดู”

ไปอยู่นิวยอร์กสองอาทิตย์ เธอลองไปพบเอเยนซี ไปลองถ่ายแบบโน่นนี่ เพื่อจะดูฟีดแบคว่าเป็นยังไง เธอสามารถทำงานที่นั่นได้มั้ย

“ไปถ่ายแบบก็มีฟีดแบคกลับมาดีค่ะ อ้าว! ทำไมยูไม่มาอยู่ที่นี่ล่ะ เพราะว่ารูมเมทของโดที่ตุรกี เขามาจากนิวยอร์ก แล้วโดเป็นคนชอบทำอะไรบ้าๆ บอๆ ลงในอินสตาแกรม แล้วเขาชอบถ่ายโด คนที่นิวยอร์กเขาก็เห็นแล้วชอบมาก บอกทำไม She ไม่มาอยู่ที่นี่ล่ะ เพราะว่า She มีบุคลิกทีวี บ้าๆ บอๆ ทำอะไรตลกๆ เขารู้สึกว่าโด Funny น่าจะมาลองที่นี่ ตอนไปนิวยอร์กก็มีคนพูดแบบนี้ โดก็คิดว่าถ้าคนที่อยู่ที่นั่น เป็นคนทำงานที่นั่น เขาบอกว่ายูมาอยู่นี่สิ ยูทำงานที่นี่ได้นะ หรือยูมาเป็นทีวีที่นี่ได้ เราก็คงมีบางอย่าง แต่ว่าตอนนี้โดกลับมาไทยก่อนเพื่อตั้งหลัก ทำงานเก็บพอร์ตโฟลิโอสักพัก รอให้พร้อม แล้วค่อยไปลองจริงๆ เพราะว่าถ้าไปไม่พร้อมแล้วก็จะเหมือนไปเสียเปล่า แต่ว่าไปแน่นอนค่ะ”

จากตุรกี นิวยอร์ก กลับมาปักหลักกรุงเทพฯ เราไม่แน่ใจว่าคราวนี้เธอห่างบ้านไปนานแค่ไหน แต่อดถามด้วยเซนส์แบบไทยๆ ไม่ได้ว่า คุณแม่ไม่บอกให้กลับบ้านไปหาที่ภูเก็ตบ้างเหรอ

เธอหัวเราะ “คิดอยู่ค่ะว่าถ้าตารางว่างก็จะไป อยากไปสักอาทิตย์หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้มีงาน ไม่ว่างเลย” เร็วๆ นี้เธอมีแพลนว่าจะกลับไปเที่ยวฟิลิปปินส์ก่อนด้วย แล้วค่อยกลับมาหาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ยาวๆ

เดินทางเยอะ อยู่นิ่งไม่ได้ เราอยากรู้ว่า เธอมีโมเมนต์ที่อยู่กับตัวเอง อยู่เฉยๆ นิ่งคิดบ้างมั้ย

“จริงๆ แล้วเป็นคน Deep พอสมควรนะ ชอบนั่งนิ่งๆ แล้วคิดกับตัวเอง เพราะว่าเราเป็นคนชอบเดินทาง มันมีอะไรวุ่นวายเข้ามาเยอะ ก็จะมีโมเมนต์ที่กลับเข้ามาในห้องแล้วรู้สึกว่าเป็นเวลาของเราคนเดียว สามารถคิดเกี่ยวกับชีวิตได้ แพลนว่าเราอยากจะทำอะไรกับชีวิต เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง ตอนบินจากนิวยอร์กกลับมา ก็มีโมเมนต์ที่อยู่บนเครื่องนานมาก นั่งคิดคนเดียว

“แล้วก็ชอบเขียนค่ะ เป็นคนชอบเขียนจดบันทึกเกี่ยวกับตัวเอง เราไปมาหลายที่ มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ บางคนไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร เราโชคดี เราไม่ควรจะคอมเพลน ถึงมีวันที่แย่ก็ไม่แย่เท่ากับอีกหลายๆ คน ถึงเราจะไม่แฮปปี้ เราก็พยายามจะดึงตัวเองขึ้นมา เวลามีงานยุ่งๆ คิดแล้ววุ่นวาย โดเลยคิดว่าเขียนดีกว่า มันทำให้คิดง่ายขึ้นมั้ง เขียนเวลามีความรู้สึกพิเศษ เช่น วันนี้แฮปปี้มาก หรือมีแบดเดย์มาก วันหนึ่งกลับมาอ่านก็หัวเราะ”

ตอนนี้อายุ 19 มองย้อนกลับไป เธอชอบชีวิตตัวเองมั้ย แล้วจากนี้จะทำอย่างไรต่อ

“นี่เป็นอย่างหนึ่งที่โดคิดเวลาอยู่คนเดียว ว่าเรา 19 เองนะ รู้สึกว่าเรา Achive เยอะมากสำหรับอายุเท่านี้ ซึ่งถ้าถามคนอื่นที่ยังเรียนหนังสือ ยูทำอะไรกับชีวิตบ้าง เขาก็คงจะตอบว่า พอจบมัธยมก็ต่อมหา’ลัย ปี 1 ย้ายมากรุงเทพฯ อะไรก็ว่าไป แต่สำหรับโด โดมีเรื่องสตอรี่ที่จะเล่า รู้สึกแฮปปี้ที่เป็นอย่างนั้น บางทีคิดว่าเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตเราดีมั้ย เพราะมันเยอะพอสมควร แล้วเราก็เรียนรู้ หล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ เราลองผิดลองถูกมาบ้างแล้ว ก็มีประสบการณ์ที่จะไปต่อในอนาคต รู้ว่าเราอยากทำอะไร ทำแบบนี้รู้สึกแฮปปี้นะ ก็โตมาพอสมควร”

โดโรธีบอกว่า รอให้นิ่งๆ สักพัก เธอจะเริ่มหาอุปกรณ์มาทำ Vlog ของตัวเองจริงจังขึ้น ตอนนี้แชนเนลของเธอในยูทูบมีคลิปวิดีโออยู่แค่ 2 คลิปที่อีดิตในมือถือง่ายๆ ยอดวิวเยอะพอสมควร

“อยากแชร์ประสบการณ์การเดินทางของตัวเอง หรือว่าเราทำอะไรกับชีวิตบ้าง เพราะว่าหลังออกจากโชว์ก็มีแฟนๆ เขียนมาหา เราอยากเห็นชีวิตของยู อยากรู้ว่ายูเป็นยังไง เราชอบวิธีการพูดของยู เราอยากฟังยู เลยคิดว่าจะลองทำ”
ใครที่ชื่นชอบเธอก็รอติดตามกันได้ ส่วน GM กด Subscirbe รอเรียบร้อยแล้ว!

Instagram - https://www.instagram.com/dorothypetzold/
Facebook - https://www.facebook.com/dorothy.petzold

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook