คุณแม่ควรระวัง! เมื่อลูกน้อยอาจเป็นไข้ดำแดง

คุณแม่ควรระวัง! เมื่อลูกน้อยอาจเป็นไข้ดำแดง

คุณแม่ควรระวัง! เมื่อลูกน้อยอาจเป็นไข้ดำแดง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไข้ดำแดง เป็นชื่อโรคที่เกิดขึ้นกับเด็กตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ก็ยังสามารถพบได้ในปัจจุบันเนื่องจากเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อกันผ่านทางน้ำลาย ไอ และจามได้ โดยโรคไข้ดำแดง เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เด็กเกิดอาการเจ็บคอ เป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบ มีอาการคล้ายโรคไข้หวัด แต่จะมีลักษณะพิเศษคือมีผื่น หรือตุ่มสีแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัวเต็มไปหมด เมื่อผ่านไป 3-4 วันตุ่มเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสะเก็ดสีดำ ถ้าพบว่าลูกมีอาการดังต่อไปนี้ ให้สันนิษฐานไว้เลยว่าลูกน้อยกำลังเป็นโรคไข้ดำแดง

หน้าแดง

หากพบผื่นขึ้นตามลำตัว แต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคไข้ดำแดงหรือไม่ ก็ควรสังเกตใบหน้าของลูกน้อยดูว่า มีอาการหน้าแดง แก้มแดงผิดปกติหรือไม่ เด็กบางคนอาจจะมีริมฝีปากสีแดงจัดอีกด้วย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายในของร่างกายนั่นเอง

มีอาการไข้ขึ้นสูง

ในระหว่างการเลี้ยงลูก หากเด็กมีอาการไข้ขึ้นสูงแบบเฉียบพลัน มีอาการปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามลำตัว ให้ทานยาเท่าไรไข้ก็ยังไม่ลดลง กลับกันยังมีตุ่มแดง ๆ ขึ้นภายหลังจากที่เป็นไข้ ก็มีแนวโน้มว่าลูกจะเป็นไข้ดำแดง 

มีผื่นขึ้นตามข้อพับ

นอกจากอาการไข้ขึ้นสูงแล้ว คุณแม่ก็ควรสำรวจตามร่างกายลูกด้วยว่า มีผื่นขึ้นตรงไหนอีกหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณข้อพับต่าง ๆ เพราะถ้าหากลูกเป็นโรคไข้ดำแดงจริง ๆ จะเห็นผื่นแดงสีเข้มเป็นเส้น ๆ ตามรอยพับที่ผิวหนังคล้ายเลือดออกภายใน ถึงแม้ว่าจะรักษาจนไข้ลดลงแล้ว แต่ผื่นเส้น ๆ นี้ก็จะยังอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 1-3 วัน

ไอ เจ็บคอ

อาการไอ เจ็บคอจนทานอาหารไม่ได้ ก็เป็นอาการของโรคไข้ดำแดงเช่นกัน หากลูกมีปัญหาในส่วนนี้ คุณแม่ควรให้เขาอ้าปากเพื่อดูภายในว่า บริเวณเพดานปาก มีอาการอักเสบและเป็นหนองหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจก็ควรพาไปพบแพทย์ทันที

ลิ้นบวม

ปกติแล้ว ระยะฟักตัวของเชื้อโรคไข้ดำแดง จะอยู่ที่ 2-4 วัน หากลูกเริ่มมีอาการไข้รุม ๆ ยังไม่หนักมาก ให้คุณแม่ลองสังเกตลิ้นของเด็กดูว่า มีการขึ้นฝ้า และมีตุ่มแดง ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะได้ติดตามอาการต่อไป เนื่องจากถ้าเด็กป่วยด้วยโรคนี้จริง ลิ้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดภายในเวลา 2-3 วันต่อมา

ถึงแม้ว่าการเป็นโรคไข้ดำแดง จะไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าหากไม่ได้พาไปหาหมอ ซื้อยามาให้ลูกทานเองแล้วไม่ถูกกับโรค ก็อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่มีการรักษายากกว่าเดิม เช่น โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ไปจนถึงการติดเชื้อในกระแสเลือด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook